วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

“แคนตาลูป” ปนเชื้อแบคทีเรีย “ลิสทีเรีย” ทำคนมะกันดับ 13 ป่วยอีกเพียบ

มาเลี้ยงผึ้งในสวนหลังบ้านกันเถอะ



อังกฤษได้เปิดตัว "บีเฮ้าส์" รังผึ้งที่ทำจากพลาสติกไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นให้คนหันมาเลี้ยงผึ้งในสวน หรือบนหลังคาบ้านกันมากขึ้น จะได้เพิ่มประชากรผึ้งในธรรมชาติที่ลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย


 ข้างฝ่ายพวกผึ้งเองก็ดูเหมือนว่าจะชอบบ้านใหม่สไตล์โมเดิร์นนี้อยู่ไม่น้อย เพราะพวกมันส่งเสียงหึ่งๆขณะบินเข้าๆ ออกๆ รังพลาสติกที่ดูไปแล้วเหมือนกล่องไปรษณีย์สีสดกันอย่างมีความสุข

ทอม ทิว หัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ประจำหน่วยงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของรัฐบาลอังกฤษที่ชื่อ "เนเชอรัล อิงแลนด์" สาขากรุงลอนดอน บอกว่า ถ้าชาวเมืองช่วยกันเลี้ยงผึ้งให้มากก็จะทำให้จำนวนแมลงเพิ่มขึ้น แล้วทำให้แมลงเหล่านั้นต้านทานการโจมตีจากโรคภัยต่างๆ ตลอดจนศัตรูที่คุกคามการอยู่รอดของพวกมันได้มากขึ้น
 "เราจำเป็นต้องตระหนักว่า หากเราต้องการให้พืชเจริญงอกงามดี เราก็จำเป็นต้องมีประชากรแมลงที่แข็งแรงมาค้ำจุนพวกมันเอาไว้" ทิว กล่าว
 ผู้เชี่ยวชาญของ เนเชอรัล อิงแลนด์ กล่าวด้วยว่า สัตว์และพืชสามารถเจริญเติบโตได้หากว่ามนุษย์ออกแบบตัวเมืองโดยคำนึงถึงธรรมชาติด้วย แล้ว "บีเฮ้าส์" ก็เป็นตัวอย่างอันยอดเยี่ยมที่แสดงให้เห็นว่า การนำเอาธรรมชาติเข้ามาไว้ในบ้านของพวกเรานั้นมันง่ายแสนง่ายแค่ไหน
 ด้าน "ออมเล็ต" ผู้ผลิตรังผึ้งจำลองนี้ก็อวดอ้างสรรพคุณว่า "บีเฮ้าส์" รังผึ้งพลาสติกที่มีความกว้าง 1 เมตร ยาว 0.5 เมตรนี้มีขนาดใหญ่กว่ารังผึ้งปกติถึง 2 เท่า ทำให้มีพื้นที่ให้ผองผึ้งเติบโตและสร้างอาณาจักรกันได้อย่างสะดวกสบาย
 รังผึ้งจำลองนี้จะผลิตน้ำผึ้งออกมาได้โดยเฉลี่ย 50 หม้อ หรือกว่า 20 กิโลกรัมในช่วงฤดูร้อน แลกกับการที่ผู้เป็นเจ้าของจะสละเวลาไปดูแลรังผึ้งเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์เท่านั้น
 โจฮันเนส พอล ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทออมเล็ตบอกว่า บีเฮ้าส์ได้รับการออกแบบมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าการเลี้ยงผึ้งนั้นเป็นงานอดิเรกที่ต้องดูแลเอาใจใส่น้อยมาก แล้วรังผึ้งจำลองนี้ก็ไม่ต้องอาศัยพื้นที่มาก แค่วางไว้บนระเบียง หลังคาบ้าน หรือในสวนก็ได้แล้ว
 บีเฮ้าส์นี้มีสนนราคาอยู่ที่ 495 ปอนด์ หรือราวๆ 2.8 หมื่นบาท แต่ไม่รวมเจ้าผึ้งน้อย ซึ่งคุณจะต้องไปหามาเลี้ยงเอาเอง
 ทั้งนี้ อังกฤษมีผึ้งอยู่ 250 ชนิด แต่จำนวนผึ้งให้น้ำหวานในอังกฤษนั้นลดลงถึง 15% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เหมือนกับในประเทศอื่นๆ เนื่องจากผึ้งต้องเจอกับโรคภัยที่เบียดเบียนพวกมันมากขึ้น แถมดอกไม้ที่พวกมันใช้เป็นแหล่งอาหาร ตลอดจนที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพวกมันเองนั้นได้ถูกกำจัดไปเกือบหมด เพราะมนุษย์ได้ปรับพื้นที่ป่าไปปลูกสร้างบ้านเรือนเพื่ออยู่อาศัย หรือทำธุรกิจต่างๆ แทน

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

“กาแฟ”ดื่มดีได้ ดื่มร้ายเสียประโยชน์

 

d-540427-c01มีคำถามจากคอกาแฟเข้ามา โดยรู้สึกว่าตัวเองติดกาแฟมาก ช่วงแรกดื่มเพียงวันละ 1 แก้ว เพื่อแก้ง่วงระหว่างทำงาน แต่ระยะหลังมักดื่มมากกว่า 4 แก้วต่อวัน จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในอนาคตหรือไม่ อย่างไร

    สำหรับใครหลาย ๆ คน “กาแฟ” อาจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ต้องดื่มทุกวัน วันละหลาย ๆ แก้ว ดื่มแล้วหูตาสว่าง สดชื่น ความคิดแจ่มใส แต่ก็มีอีกหลายคนที่รู้สึกกังวลเกี่ยวกับ “คาเฟอีน” ที่เกรงจะก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย

    ปัจจุบันมีผลวิจัยด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และยา ในต่างประเทศจำนวนมาก พบว่า การดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสมนั้น ปลอดภัย และส่งผลดีต่อสุขภาพได้ หากดื่มอย่างถูกต้อง

    โดยผู้ที่ดื่มกาแฟไม่ควรดื่มเกิน 2 แก้วต่อวัน การได้รับปริมาณคาเฟอีนในระดับหนึ่ง จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้ สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับแข็ง และมะเร็งในเซลล์ตับ

    คาเฟอีนในกาแฟยังสามารถเพิ่มความเร็วในการเผาผลาญไขมัน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภทที่ 2 โรคอ้วน มีส่วนช่วยเพิ่มความจำระยะสั้น และเพิ่มไอคิวด้วย

    อย่างไรก็ตาม ไม่ควรรับ “คาเฟอีน” อย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนนอน รวมถึงผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะกาแฟมีผลต่อการเพิ่มความดันโลหิต

    แม้ “กาแฟ” จะมี “ข้อดี” ที่เป็นเหตุผลให้คนส่วนใหญ่นิยมดื่ม แต่การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณเข้มข้นอย่างยิ่ง และมากเกินไป ก็เปรียบเสมือนยาพิษได้เช่นกัน ดังนั้น จึงควรดื่มให้เป็น.

'ริดสีดวงจมูก'ภัยใกล้ตัวผู้ป่วยหวัด...ภูมิแพ้

'ริดสีดวงจมูก'ภัยใกล้ตัวผู้ป่วยหวัด...ภูมิแพ้ PDF พิมพ์ อีเมล
ผู้เข้าชม
65

ในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอป่วยเป็นหวัดมีอาการจาม คัดแน่นจมูก ฯลฯ ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีความผิดปกติใดๆ แต่หากต้องเผชิญกับอาการหวัดบ่อยครั้ง  อีกทั้งยังมีอาการของไซนัสอักเสบร่วมด้วยอย่านิ่งนอนใจเพราะอาจจะเผชิญกับ โรคริดสีดวงจมูก

2011-07-19-0345_0ริดสีดวงจมูกโรคดังกล่าวพบได้ทุกเพศวัยโดยมักตรวจพบในช่วงอายุเฉลี่ยประมาณ 20-40 ปี โดย นายแพทย์อุทัย ประภามณฑล ผู้ชำนาญการศัลยกรรม ศีรษะ ลำคอ หลอดลม และกล่องเสียงแผนกหู คอ จมูก โรงพยาบาลพญาไท 3 ให้ความรู้ว่า ริดสีดวงจมูก เป็นการอักเสบเรื้อรังของ เยื่อบุภายในจมูกหรือภายในโพรงไซนัส ซึ่งเมื่ออักเสบบวมเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ เป็นเวลานาน จนยื่นออกมาเป็นก้อน ก้อนดังกล่าวจะเรียกว่า ริดสีดวงจมูก

ก้อนริดสีดวงจมูกอาจจะมีลักษณะสีขาว สีแดงโดยสีแดงที่ปรากฏนั้นแสดงว่าอาจจะยังมีการอักเสบหรือติดเชื้ออยู่และบาง ทีอาจจะเป็นสีเทา ซึ่งสาเหตุของโรคในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด

แต่อย่างไรก็ตามมีปัจจัยสำคัญเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุร่วมกันซึ่งหากแยกเป็นข้อๆ พบได้ดังนี้คือ อาจมีการติดเชื้อ การอักเสบเป็นๆ หายๆ ตลอดเวลาส่งผลให้เยื่อจมูกและเยื่อบุไซนัสเกิดการบวม

อีกทั้งสาเหตุน่าจะเกิดจากความผิดปกติของการตอบสนองของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของหลอดเลือดและอีกสาเหตุเกิดจากภาวะความไวเกินของหลอดเลือดที่มาเลี้ยงเยื่อบุจมูกและเยื่อบุไซนัสซึ่งทำให้เกิดการบวมของเยื่อบุจมูก

นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบไหลเวียนภายในจมูก อีกทั้งผู้ป่วยอาจมีโรคบางอย่างเช่น หอบหืด การแพ้ยาแอสไพรินซึ่งก็สามารถทำให้เกิดโรคได้ รวมทั้งสภาพแวดล้อม พันธุกรรมก็ทำให้เกิดโรคได้ร่วมด้วย

ส่วนอีกสัญญาณของโรคมักพบในกลุ่มผู้ป่วยภูมิแพ้ซึ่งหากเป็นไซนัสอักเสบบ่อยเป็น ๆ หาย ๆ อุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นของริดสีดวงจมูกก็เป็นไปได้มากกว่าคนปกติ แต่อย่างไรแล้วปัจจุบันการแพทย์มีความก้าวหน้าสามารถตรวจวินิจฉัยโรคได้ด้วยกล้องขนาดเล็กซึ่งจะส่องเข้าไปในโพรงจมูกเพื่อตรวจวินิจฉัยซึ่งในวิทยาการนี้สามารถพบได้นับแต่ที่ยังมีขนาดเล็ก “ผู้ป่วยที่เป็นโรคริดสีดวงจมูกจะมาด้วยอาการแน่นจมูก เป็นหวัดบ่อย ๆ มีน้ำมูกไหลและถ้าก้อนริดสีดวงใหญ่มากจะไม่สามารถรับรู้กลิ่นได้ บางครั้งอาจมีเลือดออกในจมูกร่วมด้วยซึ่งสิ่งนี้ต้องเพิ่มความระมัดระวัง รีบรับการตรวจวินิจฉัยเพราะอาจจะเป็นโรคริดสีดวงจมูกหรืออาจจะเป็นเนื้องอกที่ไม่ใช่ริดสีดวง

ดังนั้นเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นก่อนที่จะลุกลามไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติในโพรงจมูกและบางกรณีแพทย์อาจจะตรวจทดสอบภูมิแพ้ร่วมด้วยเพื่อที่จะได้ทราบและหลีกเลี่ยง”

ริดสีดวงจมูกพบได้หลายก้อนและมักพบทั้งสองข้างของโพรงจมูก มีทั้งขนาดก้อนใหญ่และเล็ก ทำให้ผู้ป่วยคัดแน่นจมูกซึ่งหากเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้หายใจลำบาก ต้องหายใจทางปาก มีอาการนอนกรนและหากปล่อยทิ้งไว้โดยผู้ป่วยไม่มาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา ก้อนริดสีดวงที่ใหญ่ขึ้นจะดันส่งผลให้จมูก และใบหน้าเปลี่ยนรูปไป ในบางรายถ้ามีไซนัสอักเสบร่วมด้วยอาจจะมีกลิ่นเหม็นในจมูก มีหนองไหล เสมหะมีสีขาวขุ่น เหลืองเขียว ปวดตื้อบริเวณแก้มหรือสันจมูกฯลฯ ซึ่งหากตรวจพบเร็วก็สามารถรักษาได้เร็วซึ่งโอกาสที่จะหายก็มีมาก

ในส่วนของการรักษามีทั้ง การใช้ยาสเตียรอยด์ ซึ่งมีทั้งชนิดพ่น กินและฉีดซึ่งยาจะช่วยลดขนาดของริดสีดวงจมูกและป้องกันไม่ให้มีขนาดโตขึ้น  นอกจากนี้รักษาด้วยวิธี การผ่าตัด รวมทั้งหลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสริมที่กระตุ้นการเกิดโรค อย่างเช่น ถ้าเป็นภูมิแพ้ก็ควรรักษาโรคภูมิแพ้  แพ้แอสไพรินก็ควรหลีกเลี่ยงหรือถ้าเป็นหอบ หืดก็ควรดูแลรักษาสุขภาพ ฯลฯโดยแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัย

จากที่มีการศึกษารวบรวมสถิติไว้ ริดสีดวงจมูกจะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ช่วงอายุเฉลี่ย 20-40 ปี ส่วนที่พบที่อายุน้อยกว่านี้ต้องระวังมากขึ้นเพราะอาจจะกลายเป็นเนื้องอกชนิดอื่นที่ไม่ใช่ริดสีดวงจมูก ขณะเดียวกันถ้าพบในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 60 ปีก็ต้องไม่นิ่งนอนใจอาจเกี่ยวเนื่องกับมะเร็ง

ดังนั้นก่อนต้องเผชิญกับโรคดังกล่าวแพทย์ท่านเดิมให้คำแนะนำว่า หากมีอาการหวัดเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ บ่อยครั้งและเริ่มจะมีอาการดังที่กล่าวมา อย่านิ่งนอนใจควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแผนกหู คอ จมูกเพื่อได้รับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ ซึ่งหากมีความสัมพันธ์กับโรคอื่นไม่ว่าจะเป็นไซนัสอักเสบหรือในบางกรณีอาจมีเรื่องของหอบ หืดร่วมด้วยก็จะได้รับการรักษาทันท่วงที

อีกทั้งในการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์หลากหลาย ออกกำลังกายเป็นประจำและพักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งหลีกไกลจากพฤติกรรมเสี่ยงที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพก็จะช่วยให้หลีกไกลพ้นจากความเจ็บป่วยทั้งปวงอีกด้วย.

รู้ทัน! สารพิษในเสื้อผ้า 'โนนิลฟีนอล' อันตรายมากกว่าปลากลายพันธุ์!


s 540901เสื้อผ้าที่เราสวมใส่กันอยู่เป็นประจำสวยเด่นนำแฟชั่นเพียงใดหลายคนทราบดี แต่สำหรับขั้นตอนการผลิตนั้นคงยากที่ใครจะสนใจว่าปลอดภัย จากสารพิษหรือไม่และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร เพราะถือเป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงแล้วมันใกล้ปากเราเพียงนิดเดียว เนื่องจากมีการใช้สารพิษในกระบวนการผลิตที่มีผลกระทบต่อแหล่งน้ำและอาหารของมนุษย์ ซึ่งในอนาคตหากไม่มีการป้องกันจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ทั่วโลก

พลาย ภิรมย์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านสารพิษ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ให้ความรู้ว่า ปัจจุบันประเทศในกลุ่มเอเชีย เช่น จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เป็นฐานการผลิตเสื้อผ้าส่งออกของโลก โดยมีโรงงานอุตสาหกรรมฟอกย้อมและสิ่งทอเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็รวมถึงประเทศไทยด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดคือในการผลิตผ้านั้นมีการใช้น้ำเป็นจำนวนมาก นั่นหมายถึงต้องมีการปล่อยน้ำเสียออกไปเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน ซึ่งมันไม่ได้เป็นการใช้น้ำและปล่อยน้ำเสียอย่างเดียว แต่มีสารเคมีอันตรายที่ใช้ในกระบวนการผลิตปนเปื้อนไปด้วย

สารเคมีอันตรายที่ว่านี้คือ “สารโนนิลฟีนอลอีทอกซิเลท” (Nonylphenol Ethoxylates หรือ NPEs) เป็นกลุ่มสารเคมีที่เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นไม่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินอกเหนือจากกิจกรรมของมนุษย์ สารประกอบในกลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มอัลคิลฟีนอลอีทอกซิเลท (Alkypheol Ethoxylates หรือ APEs) ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในบรรดาสารลดแรงตึงผิว รวมถึงใช้ในสูตรเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอด้วย เมื่อปล่อยสู่ระบบบำบัดน้ำเสียหรือปล่อยลงสู่สิ่งแวดล้อมโดยตรง สารกลุ่มนี้จะแตกตัวเป็นสาร “โนนิลฟีนอล (Nonylphenol หรือ NPs) และด้วยคุณ สมบัติบางอย่างที่เป็นอันตราย จึงมีการควบ คุมในบางกลุ่มประเทศมาเกือบ 20 ปีแล้ว

สำหรับในประเทศไทยมีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่จำนวนมาก ถือเป็นนัยสำคัญต่อการเกิดปัญหามลพิษทางน้ำ เพราะสารเคมีอันตรายไม่ใช่ทำให้น้ำเสียทั่วไปเหมือนน้ำเสียจากบ้านเรือนหรือจากแปลงเกษตร ที่แค่ทำให้น้ำเน่าและมีวิธีแก้ที่ง่ายด้วยการเติมออกซิเจนลงไป แต่สารพิษอันตรายนี้เมื่อถูกปล่อยออกมาแล้วไม่สามารถกำจัดได้ เพราะมีคุณสมบัติตกค้างยาวนานไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และเมื่อสารพิษไปสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหาร เช่น ไปอยู่ในสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่เป็นอาหารของปลาและเมื่อปลากินสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ นี้เข้าไปก็อยู่ในตัวปลา และเมื่อมาถึงคนซึ่งเป็นห่วงโซ่สูงสุดรับประทานปลาเข้าไปก็ได้รับสารพิษนั้น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงถือว่าเรื่องสารพิษนี้เป็นเรื่องสำคัญ

จากกรณีนี้ทำให้เราออกสำรวจและพบว่าอุตสาหกรรมฟอกย้อมผ้ามีการเกี่ยวโยงกับการใช้สารพิษนี้โดยตอนแรกพบสารโนนิลฟีนอลหรือเอ็นพีในกระบวนการย้อมผ้าและซักล้างที่โรงงานในประเทศจีน  2 แห่งซึ่งโรงงานทั้ง 2 แห่งนี้ได้รับการว่าจ้างจากบริษัทผู้ผลิตเสื้อผ้าแบรนด์เนมต่าง ๆ ให้ผลิตเสื้อผ้า จึงทำให้แบรนด์พวกนี้มีส่วนที่ทำให้เกิดมลพิษในน้ำ และแบรนด์พวกนี้มีการผลิตในประเทศไทยด้วย ที่สำคัญเราพบสารโนนิลฟีนอลในประเทศไทยแล้วจากการสุ่มตรวจดูตัวอย่างน้ำเสียของโรงงานฟอกย้อมที่ถูกปล่อยออกมา โดยสารตัวนี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่มีความเป็นพิษสะสมอยู่ในสิ่งแวดล้อม จากการค้นคว้าศึกษาพบว่าสามารถรบกวนระบบฮอร์โมน ถ้าพูดถึงสัตว์น้ำจะทำให้สัตว์น้ำมีการกลายพันธุ์แปลงเพศ ซึ่งตัวอย่างที่ได้รับการพิสูจน์แล้วคือปลาตัวผู้เบี่ยงเบนเป็นตัวเมีย ถือเป็นสารเคมีอันตรายที่ถูกกำหนดไว้อยู่ในกฎหมายของยุโรปและค่อนข้างต้องการกำจัดสารตัวนี้ ซึ่งเรามีตัวอย่างที่เห็นชัดเจนว่าไม่จำเป็นต้องใช้สารพวกนี้ได้

จากการสุ่มตรวจในแบรนด์กลุ่มใหญ่ที่เป็นที่รู้จักกันดีมียอดขายสูงจนพบสารพิษนี้จึงได้มีการรณรงค์ให้เลิกใช้ ซึ่งผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เป็นผู้นำนวัตกรรมจึงต้องคิดผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ โดยหลังจากรณรงค์ไปแล้วแบรนด์ดังบางแบรนด์ (พูม่าและไนกี้) ได้ออกมาประกาศว่าจะยอมเลิกใช้สารเคมีดังกล่าวและมีนโยบายที่มีข้อมูลชัดว่าใช้สารอะไรในกระบวนการผลิตสามารถตรวจสอบได้ แต่ยังมีบางยี่ห้อที่ไม่ยอมทำตาม หากถามว่าผิดกฎหมายหรือไม่ แน่นอนว่าไม่ผิดกฎหมาย เพราะประเทศในเอเชียกฎหมายอ่อนแอ แต่ถ้าพูดถึงความรับผิดชอบมันเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น เพราะสารเคมีเหล่านี้เป็น สารเคมีอันตราย!!!

s 540901 - 1 - 2-2นอกจากการพบสารโนนิลฟีนอลในกระบวนการผลิตแล้ว เรายังพบสารพิษนี้ปนเปื้อนมากับเสื้อผ้าที่ผู้บริโภคซื้อมาใช้ด้วย เพราะจากตัวอย่างที่เราสุ่มเก็บมาทั้งหมด 78 ตัวอย่าง จาก 18 ประเทศ พบว่า 52 ตัวอย่างมีการปนเปื้อนสารโนนิลฟีนอลจากการซักล้าง ซึ่งใน 52 ตัวอย่างนี้มี 4 ตัวอย่างที่ซื้อจากประเทศไทย  และใน 78 ตัวอย่างนี้มีผลิตในประเทศไทย 6 ตัวอย่าง พบการปนเปื้อน 5 ตัวอย่าง ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าการที่เราไปซื้อเสื้อผ้าจากทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วยคละ ๆ กันไปประมาณ 15 ยี่ห้อ เมื่อนำเสื้อผ้ามาซักและนำน้ำไปเทสต์ ปรากฏว่าพบสารโนนิลฟีนอล นั่นหมายถึงว่าผู้ผลิตใช้สารเคมีอันตรายตั้งแต่กระบวนการผลิตทำให้มาอยู่ในผลิตภัณฑ์เสื้อผ้า และเมื่อมาถึงมือผู้บริโภคเมื่อซักออกมาแล้วก็มีสารพิษนี้อีกเช่นกันจึงกลายเป็นว่าผู้บริโภคที่ใช้เสื้อผ้าเองก็มีส่วนทำให้เกิดมลพิษทางน้ำด้วย

การตรวจสอบพบสารพิษนี้ถือว่าเป็นหนึ่งตัวอย่างที่สำคัญ แต่อาจจะมีสารเคมีอันตรายอื่น ๆ อีกก็ได้ ซึ่งยังไม่ได้ตรวจหรือยังตรวจไม่เจอก็ตาม จึงอยากขอให้ผู้ผลิตหรืออุตสาหกรรมเหล่านี้เลิกใช้สารเคมีอันตรายในกระบวนการผลิตทั้งหมด ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ทราบว่าสารโนนิลฟีนอลที่อยู่ในผลิตภัณฑ์มีอันตรายต่อผู้บริโภคหรือไม่ เพราะยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนถึงความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างสารเคมีนี้กับผู้บริโภค แต่ที่ยุโรปได้กำหนดไว้ว่าผลิตภัณฑ์ทุกอย่างไม่เฉพาะที่เสื้อผ้า หากมีสารโนนิลฟีนอลอยู่เกิน 0.1 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักถือว่าผิดกฎหมายไม่สามารถนำเข้าประเทศได้ แต่ประเทศในกลุ่มเอเชียรวมทั้งประเทศไทยไม่มีกฎหมายนี้

อย่างไรก็ตามทั่วโลกทราบว่าโนนิลฟีนอลมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมชัดเจนและมีผลกระทบต่อมนุษย์ได้จากการปนเปื้อนสารพิษในห่วงโซ่อาหาร โดยสารโนนิลฟีนอล นี้จะเข้าไปรบกวนระบบฮอร์โมนซึ่งไม่ใช่เฉพาะสัตว์แต่รวมถึงมนุษย์ด้วยอาจจะมีฮอร์โมนผิดพลาดหรือทำลายการทำงานฮอร์โมนของมนุษย์ โดยสารตัวนี้มีผลในระยะยาวไม่ใช่แค่โดนสารนี้แล้วจะเป็นทันทีทันใด แต่สารพิษจะค่อย ๆ สะสมอยู่ในร่างกายเมื่อถึงปริมาณที่มากพอแล้วก็ก่อให้เกิดผลกระทบ และที่สำคัญสารพิษนี้ไม่ได้ปนเปื้อนแค่อาหารที่เรารับประทานเข้าไป แต่มันปนเปื้อนในแหล่งน้ำดื่ม ซึ่งก็คือน้ำดื่มของเรามาจากแม่น้ำหากไปอยู่ท่อประปา เมื่อนำมาต้มหรือกรองก็ไม่สามารถกำจัดออกไปได้ทำให้เราได้รับสารพิษ ด้วย

ปัจจุบันยังไม่มีใครทราบว่าผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ในระยะยาวเป็นอย่างไร ซึ่งมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ต้องจะมานั่งรอการพิสูจน์ว่าผลกระทบระยะยาวคืออะไร เพราะสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือป้องกันไว้ก่อน ทำอย่างไรไม่ให้มีสารพิษตัวนี้ลงน้ำและทำอย่างไรไม่ให้สารเคมีเหล่านี้ถูกใช้ในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นทาง เป็นโจทย์ของทุก ๆ คนที่ต้องช่วยกันคิด ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรมควรตรวจสอบว่ามีการใช้สารพิษตัวนี้หรือไม่และรณรงค์ยกเลิกการใช้อย่างเด็ดขาด ภาครัฐต้องเข้ามาดูแลเรื่องกฎหมายควบคุม และสำหรับภาคประชาชนเองควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและร่วมกันเรียกร้องไปยังภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะยี่ห้อเสื้อผ้าต่าง ๆ ที่เราใช้ให้มีความรับผิดชอบในด้านการใช้สารเคมีรวมทั้งมีนโยบายที่ไม่ใช้สารเคมีอันตราย

เมื่อทุกคนให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะทรัพยากรทางน้ำที่ปัจจุบันพบว่าแม่น้ำของไทยกว่าร้อยละ 80 มีคุณภาพเสื่อมโทรมลงไปจากเดิม โดยเฉพาะมลพิษจากอุตสาหกรรมที่ใช้สารเคมีอันตรายเป็นภัยหลักต่อทรัพยากรทางน้ำ เพราะจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและความปลอดภัยทางด้านอาหาร หากทุกภาคส่วนยอมรับและปรับปรุงเรื่องการใช้สารเคมีอันตรายด้วยความโปร่งใส ที่สุดแล้วหากสิ่งแวดล้อมสะอาดตัวเราเองก็จะปลอดภัยจากสารพิษทั้งมวล.


ทำเนียบการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม (PRTR) คืออะไร?

ปัจจุบันสิทธิการเข้าถึงข้อมูลการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรมเป็นไปอย่างจำกัด โดยเฉพาะภาครัฐที่ขาดข้อมูลปัญหาด้านมลพิษจากอุตสาหกรรม ทำให้ทุกวันนี้ไม่มีใครทราบว่าสารเคมีอันตรายมีประเภทใดบ้าง ปริมาณเท่าไรที่โรงงานแต่ละแห่งปล่อยสู่แหล่งน้ำ เมื่อไม่ทราบข้อมูลก็ไม่เห็นปัญหาจึงไม่สามารถลดมลพิษได้ ทำให้หลายประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้วมีระบบจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่า Pollutant Release and Transfer Register : PRTR หรือทำเนียบข้อมูลการใช้งานและปล่อยสารเคมีอันตรายสู่สิ่งแวดล้อมหรือเรียกสั้น ๆ ว่า “ทำเนียบการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม” มาประยุกต์ใช้และมีประโยชน์กับทุกภาคส่วนดังนี้

ภาครัฐ เช่น การติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินนโยบายการลดมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม การวัดความสำเร็จของนโยบายสิ่งแวดล้อม การวางแผนรองรับเหตุฉุกเฉิน การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน การศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการป้องกันมลพิษและผลกระทบต่อสุขภาพ เป็นต้น ภาคอุตสาหกรรม เช่น ตรวจสอบตัวเองหรือปรับปรุงระบบการตรวจสอบภายใน ป้องกันความสูญเสีย กระตุ้นให้ลดเลิกใช้สารเคมีอันตรายและใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยสารเคมีอันตายสู่สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยของคนในโรงงาน และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นต้น ภาคประชาชน เช่น เป็นเครื่องมือช่วยเข้าถึงข้อมูลด้านมลพิษและสารเคมีของโรงงานและของรัฐ การป้องกันตนเองและชุมชน การตรวจสอบโรงงานและเจรจาให้แก้ปัญหา เป็นเครื่องมือส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ปัญหามลพิษ การสร้างกระบวนการเรียนรู้และเสริมความเข้มแข็งของชุมชนและการศึกษาวิจัย เป็นต้น

การประยุกต์ใช้ทำเนียบการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมนี้หลาย ๆ ประเทศประสบความสำเร็จ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ เกาหลีใต้ เม็กซิโก และอีกหลายประเทศกำลังพิจารณานำมาใช้ เช่น จีน ฟิลิปปินส์  ในขณะที่ประเทศไทยพยายามริเริ่มมาใช้แก้ปัญหาบริเวณมาบตาพุด แต่ยังไม่มีแนวทางปฏิบัติและใช้อย่างจริงจัง ซึ่งเรากำลังผลักดันเป็นกฎหมายแต่ต้องรอความเห็นจากภาครัฐ.

**ยางลบกะดินสอ..

**ยางลบกะดินสอ..
......
มีดินสอที่เขียนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่แท่งหนึ่ง
มียางลบที่ลบอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่ก้อนหนึ่ง

ฟังดูอาจตลกทุกคนอาจคิดว่าดินสอกับยางลบเป็นของคู่กันแต่ลองอ่านดูก่อนนะ
ดินสอแท่งนั้นเป็นเพื่อนกับยางลบก้อนนั้น ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันทำอะไรด้วยกัน
หน้าที่ของดินสอก็คือเขียน มันจึงเขียนทุกที่ทุกอย่างเสมอตลอดเวลาที่อยู่กับยางลบ
หน้าที่ของยางลบก็คือลบ มันจึงลบทุกอย่างที่ดินสอเขียนทุกที่ทุกเวลา

เวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ทุกอย่างก็ยังดำเนินเหมือนเดิมเรื่อยมา
จนกระทั่งดินสอเอ่ยกับยางลบว่า เรากับนายคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว
ยางลบจึงถามว่าทำไมล่ะ ดินสอจึงตอบกลับไปว่า
ก็เราเขียนนายลบแล้วมันก็ไม่เหลืออะไรเลย

ยางลบจึงเถียงว่า เราทำตามหน้าที่ของเราเราไม่ผิด

ทั้งคู่จึงแยกทางกัน
ดินสอพอแยกทางกับยางลบมันก็ดีใจที่สามารถเขียนอะไรได้ตามใจมัน
แต่พอเวลาผ่านไปมันเริ่มเขียนผิดข้อความที่สวยๆที่มันเคยเขียนได้ก็สกปรก
มีแต่ รอยขีดทิ้งเต็มไปหมด มันคิดถึงยางลบจับใจ

ฝ่ายยางลบพอแยกทางกับดินสอมันก็ดีใจที่ตัวมันไม่ต้องเปื้อนอีกต่อไป
พอเวลาผ่านไป มันกลับใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีอะไรให้ลบ
มันคิดถึงดินสอจับใจ


ทั้งคู่จึง กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่
คราวนี้ดินสอเขียนน้อยลงเขียนแต่สิ่งที่ดี
ส่วนยางลบก็ลบเฉพาะที่ดินสอเขียนผิด เท่านั้น

ถ้าเปรียบการเขียนเป็นการจำดินสอ ในตอนแรกก็จำทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดี
แต่พอเปลี่ยนไป มันก็หัดเลือกจำแต่สิ่งดีๆเท่านั้น
ส่วนการลบเปรียบเหมือนการลืม ยางลบในตอนแรกก็ลืมทุกอย่างทั้งดีและไม่ดี

แต่ทุกครั้งที่ลืมเรื่องไม่ดีตัวมันก็จะสกปรกแต่ตอนหลังมันเลือกลืมแต่เรื่องไม่ดี
หรือ คือการให้อภัยนั่นเอง


ฉะนั้น
การเปรียบการเดินทางของทั้งคู่ดุจมิตรภาพ
คือ การจำแต่สิ่งดีๆ และลืมในสิ่งที่อาจผิดพลาดบ้าง
ขอให้ทุกคนเป็นอย่างดินสอกับอย่างลบตอนหลังนะ