วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554
มาเลี้ยงผึ้งในสวนหลังบ้านกันเถอะ
อังกฤษได้เปิดตัว "บีเฮ้าส์" รังผึ้งที่ทำจากพลาสติกไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นให้คนหันมาเลี้ยงผึ้งในสวน หรือบนหลังคาบ้านกันมากขึ้น จะได้เพิ่มประชากรผึ้งในธรรมชาติที่ลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย
ข้างฝ่ายพวกผึ้งเองก็ดูเหมือนว่าจะชอบบ้านใหม่สไตล์โมเดิร์นนี้อยู่ไม่น้อย เพราะพวกมันส่งเสียงหึ่งๆขณะบินเข้าๆ ออกๆ รังพลาสติกที่ดูไปแล้วเหมือนกล่องไปรษณีย์สีสดกันอย่างมีความสุข
"เราจำเป็นต้องตระหนักว่า หากเราต้องการให้พืชเจริญงอกงามดี เราก็จำเป็นต้องมีประชากรแมลงที่แข็งแรงมาค้ำจุนพวกมันเอาไว้" ทิว กล่าว
ผู้เชี่ยวชาญของ เนเชอรัล อิงแลนด์ กล่าวด้วยว่า สัตว์และพืชสามารถเจริญเติบโตได้หากว่ามนุษย์ออกแบบตัวเมืองโดยคำนึงถึงธรรมชาติด้วย แล้ว "บีเฮ้าส์" ก็เป็นตัวอย่างอันยอดเยี่ยมที่แสดงให้เห็นว่า การนำเอาธรรมชาติเข้ามาไว้ในบ้านของพวกเรานั้นมันง่ายแสนง่ายแค่ไหน
ด้าน "ออมเล็ต" ผู้ผลิตรังผึ้งจำลองนี้ก็อวดอ้างสรรพคุณว่า "บีเฮ้าส์" รังผึ้งพลาสติกที่มีความกว้าง 1 เมตร ยาว 0.5 เมตรนี้มีขนาดใหญ่กว่ารังผึ้งปกติถึง 2 เท่า ทำให้มีพื้นที่ให้ผองผึ้งเติบโตและสร้างอาณาจักรกันได้อย่างสะดวกสบาย
รังผึ้งจำลองนี้จะผลิตน้ำผึ้งออกมาได้โดยเฉลี่ย 50 หม้อ หรือกว่า 20 กิโลกรัมในช่วงฤดูร้อน แลกกับการที่ผู้เป็นเจ้าของจะสละเวลาไปดูแลรังผึ้งเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์เท่านั้น
โจฮันเนส พอล ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทออมเล็ตบอกว่า บีเฮ้าส์ได้รับการออกแบบมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าการเลี้ยงผึ้งนั้นเป็นงานอดิเรกที่ต้องดูแลเอาใจใส่น้อยมาก แล้วรังผึ้งจำลองนี้ก็ไม่ต้องอาศัยพื้นที่มาก แค่วางไว้บนระเบียง หลังคาบ้าน หรือในสวนก็ได้แล้ว
บีเฮ้าส์นี้มีสนนราคาอยู่ที่ 495 ปอนด์ หรือราวๆ 2.8 หมื่นบาท แต่ไม่รวมเจ้าผึ้งน้อย ซึ่งคุณจะต้องไปหามาเลี้ยงเอาเอง
ทั้งนี้ อังกฤษมีผึ้งอยู่ 250 ชนิด แต่จำนวนผึ้งให้น้ำหวานในอังกฤษนั้นลดลงถึง 15% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เหมือนกับในประเทศอื่นๆ เนื่องจากผึ้งต้องเจอกับโรคภัยที่เบียดเบียนพวกมันมากขึ้น แถมดอกไม้ที่พวกมันใช้เป็นแหล่งอาหาร ตลอดจนที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพวกมันเองนั้นได้ถูกกำจัดไปเกือบหมด เพราะมนุษย์ได้ปรับพื้นที่ป่าไปปลูกสร้างบ้านเรือนเพื่ออยู่อาศัย หรือทำธุรกิจต่างๆ แทน
ทอม ทิว หัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ประจำหน่วยงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของรัฐบาลอังกฤษที่ชื่อ "เนเชอรัล อิงแลนด์" สาขากรุงลอนดอน บอกว่า ถ้าชาวเมืองช่วยกันเลี้ยงผึ้งให้มากก็จะทำให้จำนวนแมลงเพิ่มขึ้น แล้วทำให้แมลงเหล่านั้นต้านทานการโจมตีจากโรคภัยต่างๆ ตลอดจนศัตรูที่คุกคามการอยู่รอดของพวกมันได้มากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญของ เนเชอรัล อิงแลนด์ กล่าวด้วยว่า สัตว์และพืชสามารถเจริญเติบโตได้หากว่ามนุษย์ออกแบบตัวเมืองโดยคำนึงถึงธรรมชาติด้วย แล้ว "บีเฮ้าส์" ก็เป็นตัวอย่างอันยอดเยี่ยมที่แสดงให้เห็นว่า การนำเอาธรรมชาติเข้ามาไว้ในบ้านของพวกเรานั้นมันง่ายแสนง่ายแค่ไหน
ด้าน "ออมเล็ต" ผู้ผลิตรังผึ้งจำลองนี้ก็อวดอ้างสรรพคุณว่า "บีเฮ้าส์" รังผึ้งพลาสติกที่มีความกว้าง 1 เมตร ยาว 0.5 เมตรนี้มีขนาดใหญ่กว่ารังผึ้งปกติถึง 2 เท่า ทำให้มีพื้นที่ให้ผองผึ้งเติบโตและสร้างอาณาจักรกันได้อย่างสะดวกสบาย
รังผึ้งจำลองนี้จะผลิตน้ำผึ้งออกมาได้โดยเฉลี่ย 50 หม้อ หรือกว่า 20 กิโลกรัมในช่วงฤดูร้อน แลกกับการที่ผู้เป็นเจ้าของจะสละเวลาไปดูแลรังผึ้งเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์เท่านั้น
โจฮันเนส พอล ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทออมเล็ตบอกว่า บีเฮ้าส์ได้รับการออกแบบมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าการเลี้ยงผึ้งนั้นเป็นงานอดิเรกที่ต้องดูแลเอาใจใส่น้อยมาก แล้วรังผึ้งจำลองนี้ก็ไม่ต้องอาศัยพื้นที่มาก แค่วางไว้บนระเบียง หลังคาบ้าน หรือในสวนก็ได้แล้ว
บีเฮ้าส์นี้มีสนนราคาอยู่ที่ 495 ปอนด์ หรือราวๆ 2.8 หมื่นบาท แต่ไม่รวมเจ้าผึ้งน้อย ซึ่งคุณจะต้องไปหามาเลี้ยงเอาเอง
ทั้งนี้ อังกฤษมีผึ้งอยู่ 250 ชนิด แต่จำนวนผึ้งให้น้ำหวานในอังกฤษนั้นลดลงถึง 15% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เหมือนกับในประเทศอื่นๆ เนื่องจากผึ้งต้องเจอกับโรคภัยที่เบียดเบียนพวกมันมากขึ้น แถมดอกไม้ที่พวกมันใช้เป็นแหล่งอาหาร ตลอดจนที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพวกมันเองนั้นได้ถูกกำจัดไปเกือบหมด เพราะมนุษย์ได้ปรับพื้นที่ป่าไปปลูกสร้างบ้านเรือนเพื่ออยู่อาศัย หรือทำธุรกิจต่างๆ แทน
วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554
“กาแฟ”ดื่มดีได้ ดื่มร้ายเสียประโยชน์
|
'ริดสีดวงจมูก'ภัยใกล้ตัวผู้ป่วยหวัด...ภูมิแพ้
'ริดสีดวงจมูก'ภัยใกล้ตัวผู้ป่วยหวัด...ภูมิแพ้ |
ในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอป่วยเป็นหวัดมีอาการจาม คัดแน่นจมูก ฯลฯ ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีความผิดปกติใดๆ แต่หากต้องเผชิญกับอาการหวัดบ่อยครั้ง อีกทั้งยังมีอาการของไซนัสอักเสบร่วมด้วยอย่านิ่งนอนใจเพราะอาจจะเผชิญกับ โรคริดสีดวงจมูก ริดสีดวงจมูกโรคดังกล่าวพบได้ทุกเพศวัยโดยมักตรวจพบในช่วงอายุเฉลี่ยประมาณ 20-40 ปี โดย นายแพทย์อุทัย ประภามณฑล ผู้ชำนาญการศัลยกรรม ศีรษะ ลำคอ หลอดลม และกล่องเสียงแผนกหู คอ จมูก โรงพยาบาลพญาไท 3 ให้ความรู้ว่า ริดสีดวงจมูก เป็นการอักเสบเรื้อรังของ เยื่อบุภายในจมูกหรือภายในโพรงไซนัส ซึ่งเมื่ออักเสบบวมเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ เป็นเวลานาน จนยื่นออกมาเป็นก้อน ก้อนดังกล่าวจะเรียกว่า ริดสีดวงจมูก ก้อนริดสีดวงจมูกอาจจะมีลักษณะสีขาว สีแดงโดยสีแดงที่ปรากฏนั้นแสดงว่าอาจจะยังมีการอักเสบหรือติดเชื้ออยู่และบาง ทีอาจจะเป็นสีเทา ซึ่งสาเหตุของโรคในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด แต่อย่างไรก็ตามมีปัจจัยสำคัญเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุร่วมกันซึ่งหากแยกเป็นข้อๆ พบได้ดังนี้คือ อาจมีการติดเชื้อ การอักเสบเป็นๆ หายๆ ตลอดเวลาส่งผลให้เยื่อจมูกและเยื่อบุไซนัสเกิดการบวม อีกทั้งสาเหตุน่าจะเกิดจากความผิดปกติของการตอบสนองของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของหลอดเลือดและอีกสาเหตุเกิดจากภาวะความไวเกินของหลอดเลือดที่มาเลี้ยงเยื่อบุจมูกและเยื่อบุไซนัสซึ่งทำให้เกิดการบวมของเยื่อบุจมูก นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบไหลเวียนภายในจมูก อีกทั้งผู้ป่วยอาจมีโรคบางอย่างเช่น หอบหืด การแพ้ยาแอสไพรินซึ่งก็สามารถทำให้เกิดโรคได้ รวมทั้งสภาพแวดล้อม พันธุกรรมก็ทำให้เกิดโรคได้ร่วมด้วย ส่วนอีกสัญญาณของโรคมักพบในกลุ่มผู้ป่วยภูมิแพ้ซึ่งหากเป็นไซนัสอักเสบบ่อยเป็น ๆ หาย ๆ อุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นของริดสีดวงจมูกก็เป็นไปได้มากกว่าคนปกติ แต่อย่างไรแล้วปัจจุบันการแพทย์มีความก้าวหน้าสามารถตรวจวินิจฉัยโรคได้ด้วยกล้องขนาดเล็กซึ่งจะส่องเข้าไปในโพรงจมูกเพื่อตรวจวินิจฉัยซึ่งในวิทยาการนี้สามารถพบได้นับแต่ที่ยังมีขนาดเล็ก “ผู้ป่วยที่เป็นโรคริดสีดวงจมูกจะมาด้วยอาการแน่นจมูก เป็นหวัดบ่อย ๆ มีน้ำมูกไหลและถ้าก้อนริดสีดวงใหญ่มากจะไม่สามารถรับรู้กลิ่นได้ บางครั้งอาจมีเลือดออกในจมูกร่วมด้วยซึ่งสิ่งนี้ต้องเพิ่มความระมัดระวัง รีบรับการตรวจวินิจฉัยเพราะอาจจะเป็นโรคริดสีดวงจมูกหรืออาจจะเป็นเนื้องอกที่ไม่ใช่ริดสีดวง ดังนั้นเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นก่อนที่จะลุกลามไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติในโพรงจมูกและบางกรณีแพทย์อาจจะตรวจทดสอบภูมิแพ้ร่วมด้วยเพื่อที่จะได้ทราบและหลีกเลี่ยง” ริดสีดวงจมูกพบได้หลายก้อนและมักพบทั้งสองข้างของโพรงจมูก มีทั้งขนาดก้อนใหญ่และเล็ก ทำให้ผู้ป่วยคัดแน่นจมูกซึ่งหากเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้หายใจลำบาก ต้องหายใจทางปาก มีอาการนอนกรนและหากปล่อยทิ้งไว้โดยผู้ป่วยไม่มาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา ก้อนริดสีดวงที่ใหญ่ขึ้นจะดันส่งผลให้จมูก และใบหน้าเปลี่ยนรูปไป ในบางรายถ้ามีไซนัสอักเสบร่วมด้วยอาจจะมีกลิ่นเหม็นในจมูก มีหนองไหล เสมหะมีสีขาวขุ่น เหลืองเขียว ปวดตื้อบริเวณแก้มหรือสันจมูกฯลฯ ซึ่งหากตรวจพบเร็วก็สามารถรักษาได้เร็วซึ่งโอกาสที่จะหายก็มีมาก ในส่วนของการรักษามีทั้ง การใช้ยาสเตียรอยด์ ซึ่งมีทั้งชนิดพ่น กินและฉีดซึ่งยาจะช่วยลดขนาดของริดสีดวงจมูกและป้องกันไม่ให้มีขนาดโตขึ้น นอกจากนี้รักษาด้วยวิธี การผ่าตัด รวมทั้งหลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสริมที่กระตุ้นการเกิดโรค อย่างเช่น ถ้าเป็นภูมิแพ้ก็ควรรักษาโรคภูมิแพ้ แพ้แอสไพรินก็ควรหลีกเลี่ยงหรือถ้าเป็นหอบ หืดก็ควรดูแลรักษาสุขภาพ ฯลฯโดยแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัย จากที่มีการศึกษารวบรวมสถิติไว้ ริดสีดวงจมูกจะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ช่วงอายุเฉลี่ย 20-40 ปี ส่วนที่พบที่อายุน้อยกว่านี้ต้องระวังมากขึ้นเพราะอาจจะกลายเป็นเนื้องอกชนิดอื่นที่ไม่ใช่ริดสีดวงจมูก ขณะเดียวกันถ้าพบในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 60 ปีก็ต้องไม่นิ่งนอนใจอาจเกี่ยวเนื่องกับมะเร็ง ดังนั้นก่อนต้องเผชิญกับโรคดังกล่าวแพทย์ท่านเดิมให้คำแนะนำว่า หากมีอาการหวัดเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ บ่อยครั้งและเริ่มจะมีอาการดังที่กล่าวมา อย่านิ่งนอนใจควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแผนกหู คอ จมูกเพื่อได้รับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ ซึ่งหากมีความสัมพันธ์กับโรคอื่นไม่ว่าจะเป็นไซนัสอักเสบหรือในบางกรณีอาจมีเรื่องของหอบ หืดร่วมด้วยก็จะได้รับการรักษาทันท่วงที อีกทั้งในการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์หลากหลาย ออกกำลังกายเป็นประจำและพักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งหลีกไกลจากพฤติกรรมเสี่ยงที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพก็จะช่วยให้หลีกไกลพ้นจากความเจ็บป่วยทั้งปวงอีกด้วย. |
รู้ทัน! สารพิษในเสื้อผ้า 'โนนิลฟีนอล' อันตรายมากกว่าปลากลายพันธุ์!
|
**ยางลบกะดินสอ..
**ยางลบกะดินสอ..
......
มีดินสอที่เขียนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่แท่งหนึ่ง
มียางลบที่ลบอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่ก้อนหนึ่ง
ฟังดูอาจตลกทุกคนอาจคิดว่าดินสอกับยางลบเป็นของคู่กันแต่ลองอ่านดูก่อนนะ
ดินสอแท่งนั้นเป็นเพื่อนกับยางลบก้อนนั้น ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันทำอะไรด้วยกัน
หน้าที่ของดินสอก็คือเขียน มันจึงเขียนทุกที่ทุกอย่างเสมอตลอดเวลาที่อยู่กับยางลบ
หน้าที่ของยางลบก็คือลบ มันจึงลบทุกอย่างที่ดินสอเขียนทุกที่ทุกเวลา
เวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ทุกอย่างก็ยังดำเนินเหมือนเดิมเรื่อยมา
จนกระทั่งดินสอเอ่ยกับยางลบว่า เรากับนายคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว
ยางลบจึงถามว่าทำไมล่ะ ดินสอจึงตอบกลับไปว่า
ก็เราเขียนนายลบแล้วมันก็ไม่เหลืออะไรเลย
ยางลบจึงเถียงว่า เราทำตามหน้าที่ของเราเราไม่ผิด
ทั้งคู่จึงแยกทางกัน
ดินสอพอแยกทางกับยางลบมันก็ดีใจที่สามารถเขียนอะไรได้ตามใจมัน
แต่พอเวลาผ่านไปมันเริ่มเขียนผิดข้อความที่สวยๆที่มันเคยเขียนได้ก็สกปรก
มีแต่ รอยขีดทิ้งเต็มไปหมด มันคิดถึงยางลบจับใจ
ฝ่ายยางลบพอแยกทางกับดินสอมันก็ดีใจที่ตัวมันไม่ต้องเปื้อนอีกต่อไป
พอเวลาผ่านไป มันกลับใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีอะไรให้ลบ
มันคิดถึงดินสอจับใจ
ทั้งคู่จึง กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่
คราวนี้ดินสอเขียนน้อยลงเขียนแต่สิ่งที่ดี
ส่วนยางลบก็ลบเฉพาะที่ดินสอเขียนผิด เท่านั้น
ถ้าเปรียบการเขียนเป็นการจำดินสอ ในตอนแรกก็จำทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดี
แต่พอเปลี่ยนไป มันก็หัดเลือกจำแต่สิ่งดีๆเท่านั้น
ส่วนการลบเปรียบเหมือนการลืม ยางลบในตอนแรกก็ลืมทุกอย่างทั้งดีและไม่ดี
แต่ทุกครั้งที่ลืมเรื่องไม่ดีตัวมันก็จะสกปรกแต่ตอนหลังมันเลือกลืมแต่เรื่องไม่ดี
หรือ คือการให้อภัยนั่นเอง
ฉะนั้น
การเปรียบการเดินทางของทั้งคู่ดุจมิตรภาพ
คือ การจำแต่สิ่งดีๆ และลืมในสิ่งที่อาจผิดพลาดบ้าง
ขอให้ทุกคนเป็นอย่างดินสอกับอย่างลบตอนหลังนะ
......
มีดินสอที่เขียนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่แท่งหนึ่ง
มียางลบที่ลบอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่ก้อนหนึ่ง
ฟังดูอาจตลกทุกคนอาจคิดว่าดินสอกับยางลบเป็นของคู่กันแต่ลองอ่านดูก่อนนะ
ดินสอแท่งนั้นเป็นเพื่อนกับยางลบก้อนนั้น ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันทำอะไรด้วยกัน
หน้าที่ของดินสอก็คือเขียน มันจึงเขียนทุกที่ทุกอย่างเสมอตลอดเวลาที่อยู่กับยางลบ
หน้าที่ของยางลบก็คือลบ มันจึงลบทุกอย่างที่ดินสอเขียนทุกที่ทุกเวลา
เวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ทุกอย่างก็ยังดำเนินเหมือนเดิมเรื่อยมา
จนกระทั่งดินสอเอ่ยกับยางลบว่า เรากับนายคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว
ยางลบจึงถามว่าทำไมล่ะ ดินสอจึงตอบกลับไปว่า
ก็เราเขียนนายลบแล้วมันก็ไม่เหลืออะไรเลย
ยางลบจึงเถียงว่า เราทำตามหน้าที่ของเราเราไม่ผิด
ทั้งคู่จึงแยกทางกัน
ดินสอพอแยกทางกับยางลบมันก็ดีใจที่สามารถเขียนอะไรได้ตามใจมัน
แต่พอเวลาผ่านไปมันเริ่มเขียนผิดข้อความที่สวยๆที่มันเคยเขียนได้ก็สกปรก
มีแต่ รอยขีดทิ้งเต็มไปหมด มันคิดถึงยางลบจับใจ
ฝ่ายยางลบพอแยกทางกับดินสอมันก็ดีใจที่ตัวมันไม่ต้องเปื้อนอีกต่อไป
พอเวลาผ่านไป มันกลับใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีอะไรให้ลบ
มันคิดถึงดินสอจับใจ
ทั้งคู่จึง กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่
คราวนี้ดินสอเขียนน้อยลงเขียนแต่สิ่งที่ดี
ส่วนยางลบก็ลบเฉพาะที่ดินสอเขียนผิด เท่านั้น
ถ้าเปรียบการเขียนเป็นการจำดินสอ ในตอนแรกก็จำทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดี
แต่พอเปลี่ยนไป มันก็หัดเลือกจำแต่สิ่งดีๆเท่านั้น
ส่วนการลบเปรียบเหมือนการลืม ยางลบในตอนแรกก็ลืมทุกอย่างทั้งดีและไม่ดี
แต่ทุกครั้งที่ลืมเรื่องไม่ดีตัวมันก็จะสกปรกแต่ตอนหลังมันเลือกลืมแต่เรื่องไม่ดี
หรือ คือการให้อภัยนั่นเอง
ฉะนั้น
การเปรียบการเดินทางของทั้งคู่ดุจมิตรภาพ
คือ การจำแต่สิ่งดีๆ และลืมในสิ่งที่อาจผิดพลาดบ้าง
ขอให้ทุกคนเป็นอย่างดินสอกับอย่างลบตอนหลังนะ
วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554
11 วิธีการป้องกันโจรร้าย
11 วิธีการป้องกันโจรร้าย
สมัยนี้โจรร้ายช่างเหิมเกริมเป็นอย่างมาก พิธีกรสาวถูกยกเค้าไปถึง 4 ครั้งในรอบไม่กี่เดือน วันนี้สาระน่ารู้มี 11 วิธีการป้องกันโจรร้าย จากสถานนีตำรวจทุ่งมหาเมฆมาฝากทุกคนเพื่อป้องกันระวังตัว
1. ไม่ควรทิ้งบ้านไว้โดยไม่มีคนเฝ้าดูแล ควรให้มีคนที่ไว้วางใจอยู่เฝ้าดูแลบ้าน และควรตรวจสอบว่าปิดประตู หน้าต่างใส่กลอนเรียบร้อยแล้ว ก่อนออกจากบ้าน
2. กรณีที่ไม่อยู่บ้านควรขอความร่วมมือจากเพื่อนบ้าน ฝากให้ช่วยดูแลบ้านให้ด้วย
3. ที่ว่างเปล่าที่อยู่ติดกับที่พักอาศัยไม่ควรปล่อยให้มีต้นไม้ หรือหญ้าขึ้นสูง เพราะคนร้ายอาจใช้เป็นที่กาบังเข้าทาการลักทรัพย์ และใช้เป็นที่ซ่อนตัว หรือหลบหนี
4. ควรเลี้ยงสุนัขไว้เพื่อช่วยเตือนภัย และขังสุนัขไว้ในกรงป้องกันการถูกวางยา
5. เมื่อมีผู้โทรศัพท์มาถามว่ามีใครอยู่บ้านหรือไม่? ให้ตอบไปว่ามีอยู่กันหลายคน
6. ควรเล่ารายละเอียดกลอุบายต่างๆของคนร้ายให้กับคนรับใช้ หรือผู้ที่พักอาศัยทราบเพื่อเตือนสติอย่าให้หลงเชื่อเล่ห์เหลี่ยมของคนร้าย และมีการเตรียมพร้อมในการป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น
7. การติดตั้งสัญญาณแจ้งภัยควรใช้สัญญาณไซเรน เนื่องจากคนร้ายมักจะกลัวเสียงดัง และช่วยให้เพื่อนบ้านใกล้เคียงได้ยินจะได้ช่วยเหลือแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตารวจทราบทันถ่วงที!
8. หยุดรับหนังสือพิมพ์กรณีไม่มีคนอยู่บ้าน เพราะหากไม่มีผู้รับจะเป็นที่สังเกตว่าไม่มีคนอยู่บ้าน
9. การจ้างคนงาน คนรับใช้ หรือพนักงาน ควรมีสาเนาบัตรประชาชน หรือบัตรประจาตัวต่างๆ ถ่ายรูป และจดรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติส่วนตัว ญาติพี่น้อง เพื่อทราบที่อยู่ความเป็นมา อาชีพดั้งเดิม ความประพฤติตลอดจนญาติพี่น้อง หากต้องการให้เจ้าหน้าที่ตารวจพิมพ์ลายนิ้วมือ เพื่อทาการตรวจสอบประวัติก็ให้ขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตารวจท้องที่
10. เมื่อทราบว่ามีคนร้ายเข้าบ้าน อย่าพยายามจับคนร้ายด้วยตนเอง เพราะอาจได้รับอันตรายให้รีบแจ้งให้ตารวจทันที
11. ให้รักษาสถานที่เกิดเหตุไว้ ห้ามเคลื่อนย้ายจนกว่าเจ้าหน้าที่ตารวจจะมาถึง
น้ำมันมะกอก สาระพัดประโยชน์ ลดเสียงกรน
น้ำมันมะกอก สาระพัดประโยชน์ ลดเสียงกรน
คุณรู้หรือไม่ว่าน้ำมันมะกอก เป็นนำมันพิเศษที่มีสรรพคุณแก้สาระพัดโรค ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด จึงช่วยป้องกัน
โรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะการแก้อาการนอนกรนได้อีกด้วย วันนี้มีทำความรู้จัดน้ำมันมะกอกกันดีกว่าครับ
มะกอกจัดเป็นผลไม้ที่มีเม็ดในแข็ง หนึ่งลูกจะมีหนึ่งเมล็ด เป็นพืชที่ทนได้ทุกสภาวะอากาศ ดอกมะกอกจะออกช่อในช่วงปลายฤดูหนาว มีดอกเล็กๆ สีขาว ผลจะโตเต็มที่ประมาณ 7-8 เดือนหลังออกดอกลำต้นจะสูงตั้งแต่ 3 เมตร จนถึง 18 เมตร ใบเรียวยาวสีเขียวเข้ม มีหลากหลายพันธุ์
น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูง แต่มีข้อดีคือมีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง และเป็นไขมันชั้นดี
ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด จึงช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้ในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วย
วิตามินวิตามินเอ และอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ทำให้น้ำมันมะกอกไม่เหม็นหืน โดยไม่ต้องเติมสารกันหืนเหมือนน้ำมันพืช
บางชนิด
ตัวผลมีรสขมและฝาด เมื่อแก่จัดสีจะเปลี่ยนจากเขียวจนเป็นสีคล้ำจนเกือบดำ มะกอกเป็นผลไม้ที่มีน้ำมันมากที่สุด ในผลมะกอกที่แก่จัด 100 กรัม ให้น้ำมันถึง 20-30 กรัม การสกัดเอาน้ำมันต้องเลือกผลที่แก่จัด จึงจะได้น้ำมันมะกอกที่มีประสิทธิภาพ
น้ำมันมะกอกถึงแม้จะมีแคลอรี่สูง แต่มีข้อดี คือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง ทำให้ไม่เกิดไขมันสะสมในร่างกาย และน้ำมันมะกอกยังช่วยให้คนที่มีอาการนอนกรนลดเสียงกรนให้เบาลงได้ ด้วยการกินน้ำมันมะกอกสำหรับทำอาหาร ซึ่งควรเลือกแบบ EXTRA VIRGIN OLIVE OIL เพราะ เป็นแบบบริสุทธิ์ มีสีเขียวเข้มใส และนิยมนำมาใช้ในการทำสลัด
กินสัก 4-5 หยดก่อนนอน ทำอย่างต่อเนื่อง และทำควบคู่ไปกับวิธีดูแลสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับมาตรฐาน จะช่วยแก้ปัญหานอนกรนให้หมดไปได้
นอกจากคุณสมบัติต่างๆ ที่ไ่ด้กล่าวไปแล้วน้ำมันมะกอกยังสามารถนำมาปรุงอาหารได้ดีอีกด้วย
1. นำมาใช้เป็นส่วนผสมในการทำน้ำสลัด หรือน้ำจิ้ม
2. นำมาใช้ในการผัด ชนิดที่ใช้น้ำมันน้อย เช่นผัดผักเร็ว ๆ ผัดกระเพรา มักกะโรนี สปาเก็ตตี หรือ พาสต้า
3. นำมาใช้ในการหมักเนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆ ก่อนที่จะนำไปอบจะทำให้เนื้อนุ่มขึ้น
4. ใช้เป็นน้ำมันสำหรับทอด จะช่วยให้อาหารไม่อมน้ำมันเนื่องจากน้ำมันมะกอกจะให้ความร้อนสูง ทำให้อาหารสุกทั่วถึงอย่างรวดเร็ว ไม่สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย
วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554
Blueberry Cakes บูเบอร์รี่เค้ก สูตรไม่อ้วน
Blueberry Cakes บูเบอร์รี่เค้ก สูตรไม่อ้วน
เขียนโดย webmaster
Blueberry Cakes บูเบอร์รี่เค้ก สูตรไม่อ้วน
มาดูสูตรการเลยนะคะ
1.แป้งข้าวโพด 1 1/2 ถ้วย
2.แป้งอเนกปสงค์ 1/2 ถ้วย
3.ผงฟู 1 ชช.
4.ไข่ขาว 2 ใบ
5.น้ำแอ็ปเปิ้ลแบบธรรมชาติ ไม่ใส่น้ำตาล 1/2 ถ้วย
6.นมสดแบบไขมันต่ำ 1 1/2 ถ้วย
7.น้ำมัน 1 ชต.
8.บูเบอร์รี่สด จะหวานกว่าแบบแช่แข้ง 1 ถ้วย
ขั้นตอนการทำ
1. เท แป้งข้าวโพด แป้งอเนกปสงค์ ผงฟู เข้าด้วยกัน
2. ตีไข่ขาวจนขึ้นฟู
3. ผสม น้ำแอ็ปเปิ้ล นมสด น้ำมัน เข้าด้วยกัน แล้วเทไข่ขาวที่ตีขึ้นฟูลงตามไปคนให้เข้ากัน
แล้วตามด้วยแป้งข้าวโพด แป้งอเนกปสงค์ ผงฟู ที่ผสมรวมกันไว้แล้ว คนส่วนผสมให้เข้ากันดี
4. เทใส่ถาดอบ แล้วโรยด้วยบูเบอร์รี่
5. นำเข้าเตาอบที่ 425/30-35 นาที
เมื่อเราวางทับกันจะทำให้บูเบอรีรี่แตก และน้ำมันจะราดเนื้อเค้ก อร่อยมากเลยค่ะ
**สำหรับคนควบคุมน้ำหนัก หรือกลัวอ้วน ไม่ต้องปาดหน้าด้วยไอซิ่งนะคะทานได้เลย ยิ่ง
ทานตอนกำลังอุ่นๆ อร่อยค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจากคุณแพรวาและรูปภาพสวยๆจากกูลเกิล
|
มาสเมโร่ Marshmallows Honey Heart
มาสเมโร่ Marshmallows Honey Heart
ลงโฆษณาที่นี่
มาสเมโร่ Marshmallows Honey Heart มาสเมโร่ Marshmallows Honey Heart
ส่วนผสม
1.เจลาติน 2 ซอง (1 ซอง มี 1/2 ชต.+ 1 ชช.)
2.น้ำเย็น 6 ชต.
3.น้ำตาลทราย 1 1/3 ถ้วย
4.น้ำผึ้ง หรือ Corn syrup 1/2 + 2 ชต.
5.น้ำเปล่า 1/4 ถ้วย
6.เกลือ 1/4 ชช.
7.วนิลา 1 ชช. หรือใส่กลิ่นอิ่นๆ
8.น้ำตาลไอซิ่ง(Powder sugar) ประมาณ 1 ถ้วย
9.สีผสมอาหาร สีชมพู และฟ้า หรือสีอื่นๆตามชอบ
ขั้นตอนการทำ
1.ผสม น้ำผึ้ง น้ำตาล น้ำเปล่า1/4 ถ้วย ลงในหม้อยกขึ้นตั้งไปกลางค่อยๆคนไปด้วยจนน้ำตาลละลายหมด
2.พ่นสเปร์ยน้ำมันลงบนถาด และวางทับด้วยกระดาษไข
3.ผสมเจลาติน กับน้ำเย็น 6 ชต. ลงในผสม ทิ้งไว้สัก 1 นาที
4.เทน้ำหวานในข้อที่ 1 ลงในเจลาติน ในข้อที่ 3 เริ่มเปิดเครื่องตีด้วยสปีดต่ำ 3 นาที
5.ใส่สีผสมอาหารสีชมพู 4 หยด เกลือ แล้วเริ่งสปีดสูงอีก 7 นาทีหรือจนเหนียวข้นขึ้นฟู
6.เสร็จแล้วจะเหนียวค่ะ แล้วเทใส่ถาดค่อนมาข้างใดข้องหนึ่ง ปาดหน้าให้เรียบ ฉีดสเปร์ยน้ำมันทับบางๆ แล้ววางกระดาษไขทับลงไปใช้มือกดเบาๆให้หน้าเรียบเท่ากัน
7.จากนั้นทำเหมือนข้อ 1 – 5 แต่ใช้สีฟ้าแทน แล้วเทลงในถาดฝั่งที่เหลือปาดหน้าให้เรียบ ฉีดสเปร์ยน้ำมันทับบางๆ แล้ววางกระดาษไขทับลงไปใช้มือกดเบาๆให้หน้าเรียบเท่ากัน
8.เมื่อทำทุกสีหมดแล้ว วางทิ้งไว้บนโต๊ะทิ้งไว้ข้ามคืน
9.วันต่อมา ตั้งน้ำเดือดแล้วนำพิมพ์ลงแช่ไว้ 30 วินาที นำขึ้นมาเช็ดให้แห้งแล้วคลุกกับน้ำตาลไอ้ซิ่งป่น
10.ในถาดมาสเมโร่ เอากระดาษไขออก โรยน้ำตาลไอซิ่งลงไปให้ทั่วแซะด้านข้างออก แล้คว่ำลงบนโต๊ะ แล้วนำกระดาษไขที่ติดออก โรยน้ำตาลไอ้ซิ่งอีก
11.นำพิมพ์ที่คลุกน้ำตาลไอ้ซิ่งมากดมาสเมโร่รูปต่างๆตามชอบ กดทีเดียวให้ขาดแล้วดึงขึ้นมา นำไปคลุกกับน้ำตาลไอ้ซิ่งไว้ไม่ให้เหนียวติดกัน และก่อนจะกด
ชิ้นต่อไปนำพิมพ์คลุกน้ำตาลไอ้ซิ่งอีกรอบ *ต้องนำพิมพ์คลุกน้ำตาลไอ้ซิ่งทุกรอบก่อนนำไปกดค่ะ*
12.นำมาสเมโร่ที่คลุกน้ำตาลไอ้ซิ่งแล้วมาใส่กระชอนฝัดให้ละอองน้ำตาลหลุดออก เหลือแต่ที่ติดมาสเมโร่เท่านั้น
13.ส่วนนี่ที่เหลือหลังจากกดได้รูปตามชอบ ใช้กรรไกรตัดๆ แล้วแต่ชิ้นเล็กใหญ่
แล้วนำไปคลุก ฝัด เหมือนมาสเมโร่ที่ใช้พิมพ์กดค่ะ>>เสร็จแล้วค่ะ<<
|
ร้านอาหาร - ร้านหน้าบ้าน
ร้านหน้าบ้าน
หน้าบ้าน พร้อมเสริฟอาหารรสชาดไทยแท้ในสไตล์โมเดิร์นร่วมสมัย ร้านตกแต่งในแบบนั่งสบายๆเพื่อไว้สังสรรค์หลังเลิกงานหรือไปพักผ่อนในยามว่าง จิบค๊อกเทลรสชาดนุ่มๆ ในบรรยากาศเป็นกันเอง
เปิดตัวกันไปแล้วสำหรับ Urban Square ถ.ประชาชื่น (ซอยข้างมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต) เมื่อเข้าไปถึงก็สะดุดตากับร้านอาหารไทยที่ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นชื่อร้านเก๋ๆว่า “หน้าบ้าน”
อาหารที่นี่รับประกันความสดเพราะส่งตรงมาจากแม่น้ำแม่กลอง สมุทรสงครามกันเลยทีเดียว
นอกจากนั้นเชฟฝีมือดียังมีประสบการ์ณในการปรุงอาหารมานานถึง 18 ปี เช่น Chef Kunhathai และ Chef Tatar ซึ่งมีประสบการณ์ในการปรุงอาหารในต่างประเทศอย่างเชี่ยวชาญ
อาหารทุกจานจึงออกมาหน้าตาน่ารับประทานอย่างที่เห็นในรูป เมื่อได้ลองรสชาดอาหารก็ไม่ผิดหวัง รสชาดอาหารไทยแท้ๆที่ไม่ปรุงรสจัดจนเกินไปเป็นอาหารไทยประยุกต์ที่ยังคงรสชาดความเป็นอาหารไทยแท้ๆไว้ได้อย่างลงตัว
นอกจากนั้น ค๊อกเทลรสละมุนก็ได้ Bartender Oliver Oil มือดีที่มีประสบการณ์จากการปรุงค๊อกเทลรสหรูจาก Novotel Bangkok
อาหารและค๊อกเทลจาก Chef และ Bartender ฝืมือเยี่ยมที่นี่เทียบเท่ากับมาตราฐานของโรงแรมหรูหรา แต่ราคากลับเท่ากับร้านอาหารทั่วๆไปและบรรยากาศในร้านก็เป็นกันเอง นั่งสบายๆกับดนตรีที่ไม่เสียงดังจนเกินไป
ทำให้ร้าน “หน้าบ้าน” เป็นร้านอาหารที่อยากจะนำมาแนะนำให้ทุกคนได้ลองแวะไปพักผ่อน ทานอาหาร หรือสังสรรค์กันในวันสบายๆ
พิเศษในเทศกาลวันวาเลนไทน์ ลุ้นรับบัตรรับประทานอาหารมูลค่า 500 บาทฟรี 10 รางวัล สำหรับ 10 ท่านแรกที่โทรไปที่ร้าน เบอร์02 589 3133
ร้านอาหาร อากิโยชิ!!!
อากิโยชิ Akiyoshi
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554
หลุมดำ สัตว์ร้ายในอวกาศ
นำข้อมูลมาจาก http://www.rakbankerd.com ครับ
ความเวิ้งว่างเปล่าเหนือหัวคนเราขึ้นไปนั้น เป็นเอกภพมหามหึมาอันมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเหลือสติปัญญาที่จะหยั่งคะเนได้ สถานที่อันไร้อาณาเขตนี้นั้นก็ประกอบด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ที่คุมกันหลวมๆ เป็นจักรวาลและจักรวาลน้อยใหญ่ก็มีอยู่เหลือคณานับ เคลื่อนคล้อยในเอกภพอันไร้ขอบเขตด้วยจำนวนอันไร้ปริมาณ
ธรรมชาติมิได้สร้างความเรียบร้อยสวยงามให้ปรากฏขึ้นอย่างเดียว แต่ธรรมชาตินี่แหละที่ก็ได้สร้างความเหี้ยมเกรียม ความหายนะให้เกิดควบคู่กันไปด้วย ใครจะคิดได้
ว่า อันดวงดาวทั้งปวงที่เห็นดารดาษบนท้องฟ้านั้น คืออาหารอันโอชะของเจ้าสัตว์ร้ายพวกหนึ่งที่คอยจ้องเขมือบดาวเหล่านี้ให้สูญหายไป ตราบใดก็ตามที่ดาวน้อยใหญ่ทั้งหลายเผลอเรอหลงเข้าไปในแวดวงที่มัน “อาศัย” อยู่?
ธรรมชาติมิได้สร้างความเรียบร้อยสวยงามให้ปรากฏขึ้นอย่างเดียว แต่ธรรมชาตินี่แหละที่ก็ได้สร้างความเหี้ยมเกรียม ความหายนะให้เกิดควบคู่กันไปด้วย ใครจะคิดได้
ว่า อันดวงดาวทั้งปวงที่เห็นดารดาษบนท้องฟ้านั้น คืออาหารอันโอชะของเจ้าสัตว์ร้ายพวกหนึ่งที่คอยจ้องเขมือบดาวเหล่านี้ให้สูญหายไป ตราบใดก็ตามที่ดาวน้อยใหญ่ทั้งหลายเผลอเรอหลงเข้าไปในแวดวงที่มัน “อาศัย” อยู่?
สัตว์ร้ายที่ว่านี้ นักวิทยาศาสตร์บนดาวเล็กๆ ดวงที่เรียกว่าโลกนี้เขาตั้งชื่อมันเอาไว้ว่า “แบล็ค โฮล” หรือแปลกันง่ายๆ คือ “หลุมดำ”
ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา นับแต่ปี พ.ศ. 2513 นั้น นักวิทยาศาสตร์สาขาดาราศาสตร์ทั้งหลายก็พากันบอกเป็นเสียงเดียวว่า เจ้าสิ่งที่เรียกว่าหลุมดำหรือแบล็ค โฮลนั้นได้จัดการออกล่าเหยื่อเขมือบดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้าไปแล้วมากต่อมาก และหลังจากเขมือบดาวเหล่านี้ไปชั่วระยะหนึ่งแล้ว มันก็หยุดการล่าเหยื่อของมันไปชั่วระยะหนึ่ง
ช่วงที่แบล็ค โฮลอยู่เฉยๆ ไม่อนาทรคันปากคันคอจะกินดาวอย่างที่เคยนั้น นักดาราศาสตร์นั่นแหละที่เขาบอกว่ามันกำลังขอเวลาสำหรับ “ย่อย” ดาวที่เป็นอาหารของมันอยู่ มาถึงตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญที่เฝ้าสังเกตสังเกตเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ กำลังร้องบอกว่าเจ้าหลุมดำ หรือแบล็ค โฮลนี้ เริ่มต้นที่จะออกล่าเขมือบดวงดาวใหม่แล้วแต่โชคดีที่ว่าโลกเรานั้นยังอยู่ไกลมากจากถิ่นที่สัตว์ร้ายแห่งเอกภพนี้มันสิงสถิตอยู่ ไม่เช่นนั้นสักวันหนึ่งโลกใบนี้ ก็คงถูกมันเขมือบ และจัดการย่อยอร่อยปากอร่อยกระเพาะมันไปเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม วันสุดท้ายของโลกและสุริยจักรวาลนั้นก็ยังมีโอกาสมาถึงเหมือนกัน เพราะดวงดาวเพื่อนบ้านตลอดจนถึงดวงอาทิตย์ อาจจะถือว่าสุริยจักรวาลทั้งระบบนั้นกำลังค่อยๆ ถูกดูดให้เข้าไปหาเจ้าแบล็ค โฮลนี้ทีละน้อยๆ แต่ว่าเรื่องนี้ก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจขนข้าวของอพยพกันหรอกนะครับ เพราะนักดาราศาสตร์กล่าวว่า อีกอย่างน้อยๆ ก็นับสิบๆ ล้านปีนั่นแหละกว่าที่โลกจะกลายเป็นเหยื่อเจ้าสัตว์ร้ายแห่งเอกภพ เวลาป่านนั้นเราจะตายไปเกิดที่ไหนอีกกี่สิบกี่ร้อยหรือกี่ล้านชาติก็ไม่รู้
ปรากฎการณ์สัตว์ร้ายแห่งเอกภพหรือหลุมดำนี้อาจจะมีมานานนับร้อยพันหมื่นล้านปีมาแล้ว แต่ก็เพิ่งเป็นที่ประจักษ์กันในหมู่มนุษย์เพียงไม่นานมานี้ ก็เมื่อคนเรามีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ สามารถพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้รอบตัวให้ทันสมัยสมใจนึกมากขึ้น เพราะความก้าวหน้านี้เอง ที่ทำให้เราได้มองเห็นเจ้าสัตว์ร้ายนี้ ด้วยความรู้จากสมมติฐานกลายไปเป็นทฤษฎี
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2451 หรือ 81 ปีมาแล้ว มีปรากฎการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่บริเวณทุ่งทุงกัสทางตอนกลางของไซบีเรีย ปรากฏการณ์นี้ได้แก่การระเบิดเสียงกึกก้องกลางอากาศ และมีการสั่นสะเทือนอย่างมหาศาลของแผ่นดินบริเวณนั้นและในอาณาเขตรัศมีหลายร้อยกิโลเมตรโดยรอบ บรรดาผู้ที่อาศัยในละแวกทุงกัสนั้นต่างให้การเป็นเสียงเดียวกันว่า ขณะเกิดการระเบิดนั้นพวกตนแสบตาจ้าไปหมดด้วยแสงอันขาวนวลอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน แสงนั้นทำให้ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์ที่กำลังส่องสว่างนั้นมืดมิดไปชั่วขณะ และเกิด “เสาไฟมหึมา” พลุ่งขึ้นมาจากพื้นโลก
เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้ว สิ่งหนึ่งที่ยังคงปรากฎอยู่ในทุ่งทุงกัสแม้จนกระทั่งวันนี้อันเป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษแล้วก็ตาม คือ สภาพหงิกงอของไม้ไร่ในป่าแถบนั้น กระหย่อยใหญ่เหมือนกับถูกมือยักษ์ทึ้งและเผาราบ ไม้ใหญ่น้อยนี้ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ก็ไม่มีไม้ต้นใหม่เกิดขึ้นนักวิทยาศาสตร์ได้บุกบั่นเข้าไปทำการสำรวจค้นคว้าบริเวณนี้อยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่มีใครลงมติเห็นพ้องกันว่าสาเหตุของปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แม้ว่าจะเห็นตรงกันว่ามันเป็นหายนะที่มาจากฟากฟ้าเหนือหัว
สาเหตุที่เกิดการทำลายป่าครั้งใหญ่ และสิ่งประหลาดที่ชาวทุงกัสยุคนั้นได้พบเห็นชนิดตายไปก็ยังลืมไม่ลงนั้นยังมีการโต้แย้งต่างๆนานา อะไรเกิดขึ้นที่ไซบีเรียครั้งนั้นตอนนี้สามารถแยกสาเหตุออกไปได้คือ ส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นผลจากการที่สะเก็ดดาวขนาดมหึมาชิ้นหนึ่งหล่นเข้ามาอยู่ในปริมณฑลแรงดึงดูดของโลก แล้วก็เลยถูกดูดลงมาถล่มเอาบริเวณดังกล่าว เหตุผลหนึ่งไปไกลกว่านั่นคือเชื่อว่าอาจจะมีมนุษย์ต่างดาวนำยานของตนมาฉวัดเฉวียนทำนองสำรวจโลกพระเคราะห์ที่มนุษย์อาศัยอยู่ และให้เกิดอุบัติเหตุเชื้อเพลิงคือพลังนิวเคลียร์ในยานลำนั้นแผลงฤทธิ์ปึงปังออกมา มันก็เท่ากับการหยอดระเบิดนิวเคลียร์ลงไปบนทุ่งทุงกัสที่ว่าทำให้แหลกลาญไปหมด
แต่ทฤษฎีล่าสุดที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งไว้สำหรับกรณีลึกลับแห่งทุง่ทุงกัสนี้คือ อาจจะเป็นไปได้ที่โลกเจอเข้ากับรายการ “แทะเล็ม” ของปรากฎการณ์ชนิดหนึ่ง ที่เพิ่งจะมีการค้นพบกันไม่นานมานี้ที่เผอิญเป็นปรากฎการณ์ระดับไม้จิ้มฟันของเอกภพ นั่นคือผลจากการอาละวาดของเจ้าแบล็ค โฮล
เรื่องนี้ก็อาจจะเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “อภินิหารเจ้าหลุมดำ”
หลุมดำหรือแบล็ค โฮลนี้เป็นภาพที่มองไม่เห็นในเอกภพ แต่ว่ามันสัมผัสได้ด้วยการสังเกตได้ด้วยผลที่บังเกิดขึ้นรอบๆ ตัวของมัน ก็คือการหายไปของดาวต่างๆ ที่กล้องโทรทัศน์จากผิวโลกมองออกมาและบันทึกเอาไว้เปรียบเทียบกัน แสดงถึงอำนาจอันมหาศาลของเจ้าตัวร้ายแห่งเอกภพ
ในปี พ.ศ. 2447 เอฟ.ดับเบิลยู เบสเซล นักดาราศาสตร์สำคัญคนหนึ่งแห่งหอดูดาวคอนิกบูร์ก ของปรัสเซียปัจจุบันคือหอดูดาวแห่งคาลินนินกราด สหภาพโซเวียตได้เฝ้าสังเกตดาวฤกษ์สำคัญดวงหนึ่งที่รู้จักกันมากแต่สมัยดบราร ก็คือซิริอุส หรือดาวหมาที่ชาวไอยคุปต์ถือเป็นดาวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล และพบโดยบังเอิญว่าดาวซิริอุสนี้มิได้เดินไปตามที่ตามทางของมัน หากแต่ดูเหมือนคล้ายกับว่ากำลังอยู่ในวิถีที่จะหลับอะไรสิ่งหนึ่งที่มองไม่เห็น
นักดาราศาสตร์รุ่นหลังจากเบสเซลได้ติดตามสานต่องานของเขาและพบว่า ใกล้เคียงกับดาวซิริอุสนั้น มีดาวดวงหนึ่งขนาดเล็กกว่ากำลังมีแสงริบหรี่ลงไปกว่าปกติแต่ในไม่นานหลังจากนั้น มันก็ส่งแสงสว่างจ้าข่มดาวซิริอุสซึ่งว่าสว่างแล้ว เป็นปรากฎการณ์ต่อเนื่องอยู่หลายปี แล้วจากนั้นมันก็หายไปจากกล้องโทรทัศน์ หลังจากที่มันหายไปแล้วนั่นเอง ปรากฏว่าจำนวนดาวน้อยๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าในละแวกที่อยู่ใกล้เคียงกับดาวที่หายไปนั้นลดลงเรื่อยๆ และก็ทรงตัวอยู่ชั่วระยะหนึ่งจากนั้นก็ลดจำนวนลงไปอีก
จนละแวดนั้นนอกจากดาวซิริอุสแล้ว เป็นที่เวิ้งว้างว่างเปล่าปราศจากดาว เหมือนกับใครไปถอนหญ้าในแปลงเล็กๆ เสียเตียน
จนละแวดนั้นนอกจากดาวซิริอุสแล้ว เป็นที่เวิ้งว้างว่างเปล่าปราศจากดาว เหมือนกับใครไปถอนหญ้าในแปลงเล็กๆ เสียเตียน
ปรากฏการณ์ที่รวบรวมได้จากการสังเกตนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้นำมาศึกษาวิจัยกันแล้ว และพบว่าเป็นกำเนิดของหลุมดำหรือสัตว์ร้ายแห่งเอกภพอันเนื่องจากการถึงแก่กาลอวสานของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่
มีการเอากรณีปรากฎการณ์ประหลาดที่ไซบีเรียครั้งนั้นมาพิจารณาประกอบด้วย นักเคมีชาวอเมริกันนายหนึ่ง ก็คือ วิลลาร์ด ลิบบี้ อดีตสมาชิกของคณะกรรมการพลังงานปรมาณูของสหรัฐ ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในฐานะค้นพบวิธีการตรวจสอบอายุของสสารด้วยระบบกัมมันตรังสีคาร์บอน ได้ร่วมกับพรรคพวกอีกสองคนทำการทดลองพบว่า การเคลื่อนไหวของสิ่งสองสิ่งในอวกาศคือสสารกับตัวต้านสสารนั้น ทำให้เกิดพลังงานอย่างใหญ่หลวงมหาศาล และปรากฎการณ์นี้อาจจะเป็นไปได้เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเฉียดเข้ามาใกล้และถูกโลกดึงลงมาแผลงฤทธิ์กันบนทุ่งไซบีเรีย
แต่ว่าสิ่งที่เรารู้กันในทุกวันนี้เกี่ยวกับอสูรร้ายในเอกภพคือ แบล็ค โฮลนั้น มันเกิดขึ้นจากผลของการที่แก๊สในดาวฤกษ์ซึ่งมีกลุ่มก้อนมหึมาเกิดการหลอมตัวของนิวเคลียร์เข้าด้วยกัน เป็นลักษณะของการแปลงธาตุจากธาตุหนึ่งไปยังอีกธาตุหนึ่ง โดยเฉพาะจากไฮโดรเยนเป็นฮีเลียม การแปลงธาตุจากการหลอมตัวของนิวเคลียสนี้ผลพวงที่แนบมาด้วยก็คือพลังงานความร้อนที่เกิดจากระเบิดนิวเคลียร์ที่มนุษย์สามารถสร้างมันขึ้นมาได้แรงที่สุด
พลังงานมหาศาลที่มีทั้งความร้อนระคนปนเข้ากับแสงและรังสีอื่นๆ อันเกิดจากการหลอมตัวแปลงธาตุนี้จะผลักดันปรมาณูและอณูต่างๆ ออกจากกัน แต่ในเวลาเดียวกับที่มีแรงผลักดันปรมาณูออกจากกันนี้ก็พลอยหมดไปตามไปด้วย คงเหลือแต่แรงดึงดูดให้ปรมาณูวิ่งเข้ามากันอยู่แรงเดียว
เมื่อมีแต่แรงดึงปรมาณูเข้าหากันอยู่แต่ลูกเดียวเช่นนี้ ดาวฤกษ์ที่ดันเผาไหม้ตัวเองขึ้นมานั้นก็จะเริ่มหดตัวเล็กลงกว่าขนาดของเดิม และก็หดตัวลงไปเรื่อย แต่ว่าจะหดใหญ่เล็กแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าดาวฤกษ์ดวงเดิมนั้นมันใหญ่โตแค่ไหน ดาวฤกษ์ขนาดย่อมๆ หน่อยก็จะหดตัวมาเป็นดาวฤกษ์นิวตรอน ซึ่งในตัวของมันนั้นก็จะประกอบด้วยสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่า “สารควบแน่น” และสารควบแน่นพวกนี้จะเป็นสสารที่ไม่มีอนุภาคไฟฟ้าอยู่ในตัวเหมือนกับสสารทั่วไป นั่นเองที่เขาเรียกมันว่า “นิวตรอน” หรือ “สารเป็นกลาง”
แต่ที่น่าทึ่งและมหัศจรรย์ที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์เขาว่ากันไว้นั้นก็คือ เจ้าสารควบแน่นนี้ปริมาณเพียงแค่หัวไม้ขีดเท่านั้นมันจะหนักเป็นพันล้านตัน หรืออีกนัยหนึ่งหนักยิ่งกว่าภูเขาหิมาลัยหรือเขาพระสุเมรุเสียอีก
แต่ดาวฤกษ์ที่เอาแต่หดตัวไปนั้นก็ไม่ได้หยุดหดไปแม้แต่น้อย คงทำการก้มหน้าก้มตาลดขนาดของมันด้วยการหดต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็ไม่มีขนาด ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากสภาพใหม่ที่มองไม่เห็น และที่นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่า “หลุมดำ” หรือ “แบล็ค โฮล” นั่นแหละ
ทั้งหมดนี้ออกจะเป็นเรื่องฟังหนักสมองเอาสักหน่อยแต่นี่ขนาดผมพยายามเรียบเรียงเอาคำอธิบายของนักวิทยาศาสตร์ไต่บันไดลงมาถึงพื้นให้ท่านผู้อ่านพอเข้าใจแล้วนะครับ มันเป็นศาสตร์ในเรื่องกฎของฟิสิกส์ที่เขาว่าเอาไว้ แค่ถอดเอามาง่ายๆ ผมยังต้องนอนก่ายหน้าผากอยู่หลายตลบกว่าจะออกมาเขียนได้อย่างนี้
ก็นักวิทยาศาสตร์นั่นแหละที่ว่าไว้ว่า เจ้าหลุมดำอินวิซิเบิ้ลตัวนี่แหละที่มันมีสนามแม่เหล็กอยู่สูงมหาศาล อำนาจทางแม่เหล็กของมันนี่เองที่เที่ยวไปดูดดาวที่มันผ่านเข้าไปใกล้เคียงเข้าไปหามัน และก็จัดการเขมือบดาวนั้นๆ เข้าตัวมันหายวับไป เหมือนกับเป็นอาหารโอชะแล้วเมื่อดาวทั้งหลายถูกดูดกลืนเข้าไปในหลุมดำนั้นก็ยิ่งจะไปเพิ่มแรงดึงดูดให้กับเจ้าตัวหลุมดำจอมเขมือบนี้มากขึ้นไปอีก
พฤติการณ์ของเจ้าหลุมดำนี้แหละที่เห็นๆ กันว่าเปรียบเสมือนสัตว์ร้ายที่ซุ่มอยู่ในกาแลกซี่ของเรา และบางทีอาจจะอยู่ในกาแลกซี่อื่นๆ อีกหมื่นล้านอสงไขยในความเวิ้งว้างหาที่สิ้นสุดมิได้ของจักรวาล
ถึงเวลานี้นักวิทยาศาสตร์อเมริกากันกำลังบอกว่าเจ้าหลุมดำที่หยุดนิ่งย่อยอาหารดาวที่มันก้มหน้าเขมือบไปพักหนึ่งนั้น เริ่มขยับเขยื้อนท้องร้องขึ้นมาแล้ว และก็กำลังเริ่มเขมือบดาวฤกษ์ที่ตุปัดตุเป๋เข้าไปใกล้ๆ มันเป็นอาหารอีกครั้งหนึ่ง ฟังแล้วก็น่าขนหัวลุก
หลุมดำนี้มันคืออะไรกันแน่ เราเห็นจะต้องรอไปสักปีสองปีอาจจะรู้จักมันมากกว่าที่รู้อยู่แล้ว เพราะจากวิทยาการที่ก้าวหน้ามากขึ้น เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น ขณะนี้นักดาราศาสตร์สามารถที่จะส่งกล้องส่องดาวหรือกล้องโทรทัศน์ออกไปเล็งดูกันได้นอกโลกแล้ว โดยฝากไปกับบัลลูนที่ส่งขึ้นไปโคจรในอวกาศแล้วส่งภาพข้อมูลต่างๆ กลับมาดูกันเพื่อตัดสินกันให้แน่ชัดว่าเจ้าจอมเขมือบนี้มันคืออะไรกันแน่
10 อันดับหาดทรายสีดำที่สวยที่สุดในโลก
อันดับที่ 10 Vik Beach, Iceland
Vik Beach อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ทางใต้ของไอซ์แลนด์ หนึ่งในชายหาดที่มีรายชื่อในการจัดอันดับชายหาดที่สวยที่สุดในโลกเมื่อปี 1991 เป็นหมู่บ้านที่มีฝนตกมากที่สุดในไอซ์แลนด์ ดังนั้นควรจะตรวจสอบให้ดีว่าคุณจะไม่ไปที่นั่นในวันที่มีฝนตก ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ชายหาดที่ดีที่สุดแต่ก็เป็นสถานที่น่ามหัศจรรย์ที่น่าไปชม
อันดับที่ 9 Black Sand Beach, Prince William Sound, Alaska
ชายหาดอยู่ห่าง Anchorage 60 ไมล์ คุณจะได้พบกับการขึ้นลงของธารน้ำแข็ง น้ำตก ภูเขาเขียว และสัตว์ป่าที่ไม่สามารถหาชมได้ในสวนสัตว์ ถ้าคุณมองลงไปในน้ำหรือรอบๆ ตัวคุณจะมองเห็นเงาสะท้อนของน้ำและน้ำแข็งสีฟ้าที่อยู่ลึกลงไปเป็นหมื่นๆ ฟุต ที่ชาดหาดนี้มีกิจกรรมที่นิยมที่สุดคือพายเรือคายัค แต่จำไว้ว่าคุณอยู่ในอลาสก้า ไม่ใช่ชายหาดที่จะออกไปเล่นกีฬาด้วยบิกินี่ ควรจะนำเสื้อกันหนาวไปดีกว่า
อันดับที่ 8 Pololu Valley Beach, Hawaii
Pololu Valley Beach อยู่สุดทางหลวงหมายเลข 270ที่เกาะนี้คุณสามารถชมวิวภูเขา Kohala ได้อย่างยอดเยี่ยมพอๆ กับชายฝั่ง หนึ่งในเกาะที่เล็กที่สุดในฮาวาย และต้องปีนเขา 400 ฟุต เพื่อมายังชายหาด ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ที่เกาะนี้ไม่แนะนำกิจกรรมอย่างดำน้ำหรือว่ายน้ำเพราะกระแสน้ำแรงและคลื่น สูง อันตราย ถ้าคุณได้มาที่ Pololu Valley Beach นี้ให้ปีนเขาและชมวิวดีกว่า
อันดับที่ 7 Kehena Beach, Hawaii
ถ้าคุณวางแผนจะไปพักผ่อน ที่นี่ไม่เหมาะสำหรับครอบครัว โดยเฉพาะถ้าคุณมีเด็กเล็กๆ ชายหาดนี้ได้ชื่อว่าชายหาดเปลือยแม้ว่าจะผิดกฎหมายฮาวาย ที่ Kehena คุณจะไม่โดดเดี่ยว คุณจะได้พบกับปลาวาฬด้วยเหตุนี้ทำให้ที่นี่มีอีกชื่อหนึ่งว่าหาดปลาวาฬ คุณสามารถว่ายน้ำกับปลาวาฬถ้ากระแสน้ำไม่เลวร้ายนัก คนส่วนใหญ่ที่ไปที่ Kehena เพื่อนั่งเล่นที่ชายหาด เพลิดเพลินกับอากาศดีๆ และน้ำ
อันดับที่ 6 Kaimu Beach, Hawaii
Kaimu Beach แม้ว่าจะอันตรายแต่ก็เป็นหาดทรายสีดำที่สวยงามที่ต้องไปชม ในช่วงปี 1990 ชาดหาดถูกปกคลุมไปด้วยลาวา ปัจจุบันจึงมีการปลูกต้นไม้ ดอกไม้ เพื่อนำชีวิตกลับคืนมาสู่ชายหาด ทั้งเฟิร์น ปาล์ม และต้นไม้อื่นๆ ที่สามารถพบเห็นตามรอยแตกของลาวา ขอแนะนำว่าคุณไม่ควรว่ายน้ำที่ชายหาดนี้เพราะกระแสน้ำแรงมาก แต่ถ้ายืนอยู่ในน้ำไม่สูงนัก ก็ไม่อันตรายมาก
อันดับที่ 5 Black Sand Beach, Lost coast, California
ชายหาดของแคลิฟอร์เนียความยาว 80 ไมล์ ที่หายสาบสูญ หนึ่งในชายหาดที่คนไปน้อยที่สุด ถ้าคุณมีความกล้าหาญและทักษะที่เชี่ยวชาญ คุณจะพิชิตยอดที่สูงที่สุดของที่นี่ที่ความสูงมากกว่า 2000 ฟุต จุดที่สูงที่สุดคือ King’s Peak ที่ความสูง 4,087 ฟุต และได้ชมชายหาดที่ได้ชื่อว่า Black Sand Beach แม้ว่าจะว่ายน้ำที่ชาดหาดนี้ได้แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ จะปีนเขาและขึ้นมาเพื่อถ่ายรูปที่นี่มากกว่า
อันดับที่ 4 Oneuli Beach, Maui
Oneuli Beach หนึ่งในชายหาดที่คุณอาจไม่พบกับฝูงชนจำนวนมาก อย่างไรก็ตามคุณสามารถมีช่วงเวลาดีๆ ที่ชายหาดแห่งนี้ น้ำที่กำลังดี ชายหาดที่สามารถตั้งแคมป์ได้ ถ้าวางแผนจะมาที่นี่สักสองสามชั่วโมงคุณสามารถว่ายน้ำ ปีนเขา ตกปลา และพายเรือ ถ้าคุณชอบอยู่กับธรรมชาติ คุณน่าจะชอบปีนเขา และสามารถดำน้ำทั้ง snorkeling และ scuba diving และพายเรือคายัค ทรายจะร้อนมากเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น อย่าลืมเอารองเท้ามาด้วย
อันดับที่ 3 Honokalani Black Sand Beach, Maui
Honokalani Black Sand Beach ตั้งอยู่ใน Wainapanapa State Park หาดที่เต็มไปด้วยกรวดเล็กๆ จากลาวา รอบๆ คุณจะได้พบกับถ้ำ ปะการังลาวา แท่งลาวา จากชายหาดคุณสามารถเดินไปยัง King’s Highway ซึ่งเป็นทางจากฝั่งเลียบชายหาดไปยัง Hana ซึ่งคุณสามารถดำน้ำและ snorkeling ได้ที่หาดนี้
อันดับที่ 2 Waianapanapa Black Sand Beach, Maui
Waianapanapa Beach ชาดหาดสีดำที่เกิดจากกระแสน้ำกัดเซาะหินภูเขาไฟ ที่ชายหาดนี้คุณจะได้พบกับวิวที่สวยงามที่สุดที่คุณไม่เคยเห็น คุณสามารถชมและเข้าไปในถ้ำ สะพานที่เกิดจากหินธรรมชาติ และ King’s Highway เส้นเก่า ที่เคยใช้เป็นถนนล้อมรอบเกาะ คุณสามารถพาครอบครัวมาที่นี่และแน่ในว่าจะเป็นช่วงฤดูร้อน เพราะในช่วงฤดูหนาวคลื่นจะแรงและสูงมาก ไม่สามารถว่ายน้ำ เล่นกระดานโต้คลื่น และดำน้ำเพราะอันตรายมาก
อันดับที่ 1 Punaluu Beach, Hawaii
อันดับสูงที่สุดในโลกของหาดทรายสีดำคือ Punaluu Beach ตั้งอยู่บน Big Island ของฮาวาย ชายหาดที่ล้อมรอบด้วยทรายสีดำที่เกิดจากลาวาที่เย็นตัวลงจากภูเขาไฟใน มหาสมุทร ที่หาดนี้คุณสามารถพบเต่า Hawksbill หรือ Green sea turtles แม้ว่าทรายสีดำที่หาดนี้จะสวยงาม แต่การนำทรายออกมาก็เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย
ที่มา :
http://www.toptenthailand.com/display.php?id=1348
10 ถนนอันตรายที่สุดในโลก
.
ถนนหนทางถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะนำพาพวกเราไปท่องเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากถนนที่ควรจะพาเราเดินทางอย่างราบรื่นกลับกลายมาเป็นอุปสรรคสุดอันตรายที่พร้อมจะคร่าชีวิตทุกคนที่เดินทางผ่านล่ะ?
.
ทีมงานจิงโจ้เป็นโล้เป็นพายข่าวขอพาทุกคนไปสัมผัส 10 ถนนที่อันตรายที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของเว็บไซต์ travelandleisure
.
พร้อมแล้วไปดูเส้นทางอันตรายพร้อม ๆ กันเลยครับ
.
10..North Yungas Road, ประเทศโบลิเวีย
ตำแหน่งที่ตั้ง: ระหว่างเมืองLa Paz และ Coroico
ความอันตราย: สุดยอดเส้นทางอันตรายจนมีชื่อเรียกขานว่า“ถนนแห่งความตาย” ถนนสุดแคบเส้นนี้วิ่งไปตามภูเขา 40 ลูก และบางจุดแคบเพียง 10 ฟุต รถยนต์แทบสวนกันไม่ได้ ด้านล่างเป็นป่าที่อยู่ลึกลงไป 1,000 ฟุตที่กลืนกินชีวิตนักขับมาแล้วหลายราย
9..Guoliang Tunnel Road,.ประเทศจีน
ตำแหน่งที่ตั้ง: ภูเขาTaihang ในประเทศจีน
ความอันตราย:ถนนที่มีชื่อแปลว่า "ไม่อดทนกับความผิดพลาด" ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1972 โดยชาวบ้านที่อาศัยในเขตภูเขา Taihang แสนไกลปืนเที่ยง ได้ช่วยกันขุดอุโมงค์ผ่านภูเขาเป็นระยะ 3/4 ไมล์เพื่อเป็นทางออกมาสู่โลกภายนอก ปัจจุบันเส้นทางนี้กว้าง 12 ฟุต หรือประมาณ 3 เมตรครึ่ง ทางโค้งในอุโมงค์กว่า 30 แห่งจะมีช่องเปิดให้เห็นวิวหน้าผาและหุบเหวลึกสุดอันตรายด้านล่างให้นักขับหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเล่น
8. Halsema.Highway, ประเทศฟิลิปปินส์
ตำแหน่งที่ตั้ง: ภูเขาบนเกาะLuzon
ความอันตราย: ความน่าสะพรึงกลัวของนักขับบนถนนเส้นนี้ ดินถล่มสุดโหด หินก้อนใหญ่ ๆ และซากหินที่ตกลงมาจากข้างบนเขาพร้อมจะคร่าชีวิตนักขับดวงซวยทุกคน แถมด้วยหมอกหนาที่ปกคลุมถนนเส้นนี้ทั้งปี ทำให้ทัศนวิสัยย่ำแย่สุดขีด เส้นทางนี้วิ่งวกวนผ่านเขาCordillera Central ขนาดมหึมาในเขตเกาะLuzon และยังมีอีกหลายพื้นที่ของเส้นทางที่ยังไม่มีการปูพื้นถนน
.
7. Karakoram.Highway,.ระหว่างประเทศปากีสถานและจีน
ตำแหน่งที่ตั้ง: เขตภูเขาKarakoram ในปากีสถาน
ความอันตราย: หนึ่งในถนนที่สูงที่สุดบนโลก วิ่งลัดเลี้ยวเคี้ยวคดไปตามภูเขาสูง16,000 ฟุตจากปากีสถานไปถึงจีน นี่คือเส้นทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวเพื่อขับรถไปชมวิวภูเขาK2 ภูเขาที่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เส้นทางจากจุดที่อยู่ที่สูงที่สุดจากถนนสายนี้ จะทำให้นักขับรถทรมานจากสภาพอากาศเบาบางเป็นระยะทางกว่า 800 ไมล์ ซึ่งแคบลงตามแม่น้ำและข้ามพื้นที่สุดแห้งแล้ง ก่อนจะปีนขึ้นไปตามทางที่คดเคี้ยวไม่มีที่สิ้นสุดของ Karakoram
.
6. Kolyma.Highway, ระหว่างประเทศรัสเซียและไซบีเรีย
ตำแหน่งที่ตั้ง: รัสเซียตะวันออกไกลและไซบีเรีย
ความอันตราย: เส้นทางยาว 1,200 ไมล์ซึ่งมีชื่อเล่นว่า "เส้นทางสายโครงกระดูก" ถูกสร้างในยุคของท่านผู้นำสตาลิน ซึ่งชื่อนี้มีที่มาจากผู้ที่ถูกกักกันในค่ายแรงงานและผู้ที่เสียชีวิตระหว่างการก่อสร้างที่ถูกฝังไว้ข้างใต้หรือใกล้ ๆ พื้นถนน ถนนเส้นนี้ตัดผ่านบริเวณที่หนาวที่สุดในโลก ในหน้าหนาวจะเป็นการขับรถบนน้ำแข็งบนแม่น้ำที่แข็งตัวแทนการใช้เรือ ซึ่งเป็นเส้นทางการขับที่อันตรายสุดขีด เนื่องจากไม่สามารถทราบได้ว่าจุดไหนที่น้ำแข็งจะแตกหักบ้าง
.
5. Canning.Stock Route,.ประเทศออสเตรเลีย
ตำแหน่งที่ตั้ง:ทะเลทรายบริเวณออสเตรเลียตะวันออก
ความอันตราย: เส้นทางยาวกว่า 1,100 ไมล์ ผ่านทะเลทรายอันกว้างใหญ่ มีการขุดบ่อน้ำมากกว่าเกือบร้อยบ่อตลอดเส้นทาง ปัจจุบันรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่เดินทางไปด้วยกันสามารถขับผ่านความอ้างว้างนี้ได้ด้วยการช่วยเติมเชื้อเพลิง ทะเลทรายกว้างใหญ่ที่ดูไม่มีจุดสิ้นสุดและแสงแดดที่แผดเผาในการเดินทางข้ามผ่าน ทำให้เส้นทางนี้หฤโหดถึงขีดสุด
.
4..Graciosa Trail, ประเทศบราซิล
ตำแหน่งที่ตั้ง: ภูเขาเหนือเมือง Morretes
ความอันตราย: ถนนเส้นนี้เป็นทางเก่าแก่ที่ตัดผ่านป่าฝนและถูกปกคลุมหนาทึบไปด้วยมอส ด้วยสภาพเส้นทางที่ทำจากหินกรวดตลอดเส้นทาง ให้พื้นถนนลื่นและอันตรายมาก โดยเฉพาะบริเวณทางเลี้ยว นอกจากนี้ยังมีต้นไฮเดนเยียขึ้นตามทางทำให้ทางเขียวชอุ่มด้วยดอกไม้สีฟ้า ดูสดชื่นหลอกล่อให้นักขับหลงชมธรรมชาติจนลืมไปว่าถนนเส้นนี้อันตรายถึงชีวิต
3..Trans-Sahara Highway, ทวีปแอฟริกา
ตำแหน่งที่ตั้ง: จากแอลจีเรียถึงไนจีเรีย
ความอันตราย: เส้นทางลาดยางท่ามกลางทะเลทรายเป็นระยะทางยาวกว่า 2,800 ไมล์ วิ่งข้ามผ่าน 3 ประเทศ ได้แก่ แอลจีเรีย ไนเจอร์ และไนจีเรีย เป็นเส้นทางผ่านทะเลทรายซาฮาร่า ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดบนโลก เชื้อเพลิงและน้ำไม่สามารถหาได้มากนักตลอดเส้นทางสุดโหด และพายุทรายที่บางปีก็พัดทรายกองมหึมาและถมลงบนถนน ทำให้การจราจรเป็นอัมพาตหลายวันติดต่อกัน
2..The.Stilwell Road, ระหว่างประเทศอินเดียและพม่า
ตำแหน่งที่ตั้ง: ทางในป่าอินเดียไปถึงพม่า
ความอันตราย: ถูกสร้างขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองโดยการแลกมาด้วยชีวิตนับพัน Stilwell Road (The Ledo Road) วิ่งป่ายภูเขา คดเคี้ยวไปในป่า และผ่านแม่น้ำกว่า 100 สาย ที่ไหลผ่านถนนความยาว 1,079 ไมล์ ปัจจุบันถนนเส้นนี้ถูกป่าปกคลุมรกชัฎ มีการใช้น้อยและพื้นที่ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้
1..Wilderness Road.to Selva.Blue Lodge,.ประเทศโบลิเวีย
ตำแหน่งที่ตั้ง: ระหว่าง Santa Ana และ the Selva Blue wilderness lodge
ความอันตราย: เส้นทาง 100 ไมล์บนป่าเขาอันวกวน เป็นทางกรวดกว้าง 20 ฟุต ที่แคบลงเพราะหญ้าที่ขึ้นปกคลุมสองข้าง และสะพานไม้เหนือแม่น้ำสายย่อยจากอเมซอน คาราวานมอเตอร์ไซค์ได้เลือกเส้นทางที่มักถูกน้ำท่วมนี้ไปยังลุ่มน้ำอเมซอนทางเหนือของโบลิเวียในปี 2002 ด้วยความโหดระดับตำนานของเส้นทางนี้ ทำให้โบลิเวียได้ตำแหน่งประเทศที่มีถนนสุดอันตรายที่สุดในโลกไปครอบครองอย่างไม่น่าภูมิใจนัก
แล้วคุณล่ะ มีถนนสุดอันตรายอยากเล่าขานกันบ้างไหม?
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)