วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

“แคนตาลูป” ปนเชื้อแบคทีเรีย “ลิสทีเรีย” ทำคนมะกันดับ 13 ป่วยอีกเพียบ

มาเลี้ยงผึ้งในสวนหลังบ้านกันเถอะ



อังกฤษได้เปิดตัว "บีเฮ้าส์" รังผึ้งที่ทำจากพลาสติกไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นให้คนหันมาเลี้ยงผึ้งในสวน หรือบนหลังคาบ้านกันมากขึ้น จะได้เพิ่มประชากรผึ้งในธรรมชาติที่ลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย


 ข้างฝ่ายพวกผึ้งเองก็ดูเหมือนว่าจะชอบบ้านใหม่สไตล์โมเดิร์นนี้อยู่ไม่น้อย เพราะพวกมันส่งเสียงหึ่งๆขณะบินเข้าๆ ออกๆ รังพลาสติกที่ดูไปแล้วเหมือนกล่องไปรษณีย์สีสดกันอย่างมีความสุข

ทอม ทิว หัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ประจำหน่วยงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของรัฐบาลอังกฤษที่ชื่อ "เนเชอรัล อิงแลนด์" สาขากรุงลอนดอน บอกว่า ถ้าชาวเมืองช่วยกันเลี้ยงผึ้งให้มากก็จะทำให้จำนวนแมลงเพิ่มขึ้น แล้วทำให้แมลงเหล่านั้นต้านทานการโจมตีจากโรคภัยต่างๆ ตลอดจนศัตรูที่คุกคามการอยู่รอดของพวกมันได้มากขึ้น
 "เราจำเป็นต้องตระหนักว่า หากเราต้องการให้พืชเจริญงอกงามดี เราก็จำเป็นต้องมีประชากรแมลงที่แข็งแรงมาค้ำจุนพวกมันเอาไว้" ทิว กล่าว
 ผู้เชี่ยวชาญของ เนเชอรัล อิงแลนด์ กล่าวด้วยว่า สัตว์และพืชสามารถเจริญเติบโตได้หากว่ามนุษย์ออกแบบตัวเมืองโดยคำนึงถึงธรรมชาติด้วย แล้ว "บีเฮ้าส์" ก็เป็นตัวอย่างอันยอดเยี่ยมที่แสดงให้เห็นว่า การนำเอาธรรมชาติเข้ามาไว้ในบ้านของพวกเรานั้นมันง่ายแสนง่ายแค่ไหน
 ด้าน "ออมเล็ต" ผู้ผลิตรังผึ้งจำลองนี้ก็อวดอ้างสรรพคุณว่า "บีเฮ้าส์" รังผึ้งพลาสติกที่มีความกว้าง 1 เมตร ยาว 0.5 เมตรนี้มีขนาดใหญ่กว่ารังผึ้งปกติถึง 2 เท่า ทำให้มีพื้นที่ให้ผองผึ้งเติบโตและสร้างอาณาจักรกันได้อย่างสะดวกสบาย
 รังผึ้งจำลองนี้จะผลิตน้ำผึ้งออกมาได้โดยเฉลี่ย 50 หม้อ หรือกว่า 20 กิโลกรัมในช่วงฤดูร้อน แลกกับการที่ผู้เป็นเจ้าของจะสละเวลาไปดูแลรังผึ้งเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์เท่านั้น
 โจฮันเนส พอล ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทออมเล็ตบอกว่า บีเฮ้าส์ได้รับการออกแบบมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าการเลี้ยงผึ้งนั้นเป็นงานอดิเรกที่ต้องดูแลเอาใจใส่น้อยมาก แล้วรังผึ้งจำลองนี้ก็ไม่ต้องอาศัยพื้นที่มาก แค่วางไว้บนระเบียง หลังคาบ้าน หรือในสวนก็ได้แล้ว
 บีเฮ้าส์นี้มีสนนราคาอยู่ที่ 495 ปอนด์ หรือราวๆ 2.8 หมื่นบาท แต่ไม่รวมเจ้าผึ้งน้อย ซึ่งคุณจะต้องไปหามาเลี้ยงเอาเอง
 ทั้งนี้ อังกฤษมีผึ้งอยู่ 250 ชนิด แต่จำนวนผึ้งให้น้ำหวานในอังกฤษนั้นลดลงถึง 15% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เหมือนกับในประเทศอื่นๆ เนื่องจากผึ้งต้องเจอกับโรคภัยที่เบียดเบียนพวกมันมากขึ้น แถมดอกไม้ที่พวกมันใช้เป็นแหล่งอาหาร ตลอดจนที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพวกมันเองนั้นได้ถูกกำจัดไปเกือบหมด เพราะมนุษย์ได้ปรับพื้นที่ป่าไปปลูกสร้างบ้านเรือนเพื่ออยู่อาศัย หรือทำธุรกิจต่างๆ แทน

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

“กาแฟ”ดื่มดีได้ ดื่มร้ายเสียประโยชน์

 

d-540427-c01มีคำถามจากคอกาแฟเข้ามา โดยรู้สึกว่าตัวเองติดกาแฟมาก ช่วงแรกดื่มเพียงวันละ 1 แก้ว เพื่อแก้ง่วงระหว่างทำงาน แต่ระยะหลังมักดื่มมากกว่า 4 แก้วต่อวัน จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในอนาคตหรือไม่ อย่างไร

    สำหรับใครหลาย ๆ คน “กาแฟ” อาจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ต้องดื่มทุกวัน วันละหลาย ๆ แก้ว ดื่มแล้วหูตาสว่าง สดชื่น ความคิดแจ่มใส แต่ก็มีอีกหลายคนที่รู้สึกกังวลเกี่ยวกับ “คาเฟอีน” ที่เกรงจะก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย

    ปัจจุบันมีผลวิจัยด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และยา ในต่างประเทศจำนวนมาก พบว่า การดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสมนั้น ปลอดภัย และส่งผลดีต่อสุขภาพได้ หากดื่มอย่างถูกต้อง

    โดยผู้ที่ดื่มกาแฟไม่ควรดื่มเกิน 2 แก้วต่อวัน การได้รับปริมาณคาเฟอีนในระดับหนึ่ง จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้ สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับแข็ง และมะเร็งในเซลล์ตับ

    คาเฟอีนในกาแฟยังสามารถเพิ่มความเร็วในการเผาผลาญไขมัน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภทที่ 2 โรคอ้วน มีส่วนช่วยเพิ่มความจำระยะสั้น และเพิ่มไอคิวด้วย

    อย่างไรก็ตาม ไม่ควรรับ “คาเฟอีน” อย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนนอน รวมถึงผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะกาแฟมีผลต่อการเพิ่มความดันโลหิต

    แม้ “กาแฟ” จะมี “ข้อดี” ที่เป็นเหตุผลให้คนส่วนใหญ่นิยมดื่ม แต่การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณเข้มข้นอย่างยิ่ง และมากเกินไป ก็เปรียบเสมือนยาพิษได้เช่นกัน ดังนั้น จึงควรดื่มให้เป็น.

'ริดสีดวงจมูก'ภัยใกล้ตัวผู้ป่วยหวัด...ภูมิแพ้

'ริดสีดวงจมูก'ภัยใกล้ตัวผู้ป่วยหวัด...ภูมิแพ้ PDF พิมพ์ อีเมล
ผู้เข้าชม
65

ในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอป่วยเป็นหวัดมีอาการจาม คัดแน่นจมูก ฯลฯ ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีความผิดปกติใดๆ แต่หากต้องเผชิญกับอาการหวัดบ่อยครั้ง  อีกทั้งยังมีอาการของไซนัสอักเสบร่วมด้วยอย่านิ่งนอนใจเพราะอาจจะเผชิญกับ โรคริดสีดวงจมูก

2011-07-19-0345_0ริดสีดวงจมูกโรคดังกล่าวพบได้ทุกเพศวัยโดยมักตรวจพบในช่วงอายุเฉลี่ยประมาณ 20-40 ปี โดย นายแพทย์อุทัย ประภามณฑล ผู้ชำนาญการศัลยกรรม ศีรษะ ลำคอ หลอดลม และกล่องเสียงแผนกหู คอ จมูก โรงพยาบาลพญาไท 3 ให้ความรู้ว่า ริดสีดวงจมูก เป็นการอักเสบเรื้อรังของ เยื่อบุภายในจมูกหรือภายในโพรงไซนัส ซึ่งเมื่ออักเสบบวมเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ เป็นเวลานาน จนยื่นออกมาเป็นก้อน ก้อนดังกล่าวจะเรียกว่า ริดสีดวงจมูก

ก้อนริดสีดวงจมูกอาจจะมีลักษณะสีขาว สีแดงโดยสีแดงที่ปรากฏนั้นแสดงว่าอาจจะยังมีการอักเสบหรือติดเชื้ออยู่และบาง ทีอาจจะเป็นสีเทา ซึ่งสาเหตุของโรคในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด

แต่อย่างไรก็ตามมีปัจจัยสำคัญเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุร่วมกันซึ่งหากแยกเป็นข้อๆ พบได้ดังนี้คือ อาจมีการติดเชื้อ การอักเสบเป็นๆ หายๆ ตลอดเวลาส่งผลให้เยื่อจมูกและเยื่อบุไซนัสเกิดการบวม

อีกทั้งสาเหตุน่าจะเกิดจากความผิดปกติของการตอบสนองของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของหลอดเลือดและอีกสาเหตุเกิดจากภาวะความไวเกินของหลอดเลือดที่มาเลี้ยงเยื่อบุจมูกและเยื่อบุไซนัสซึ่งทำให้เกิดการบวมของเยื่อบุจมูก

นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบไหลเวียนภายในจมูก อีกทั้งผู้ป่วยอาจมีโรคบางอย่างเช่น หอบหืด การแพ้ยาแอสไพรินซึ่งก็สามารถทำให้เกิดโรคได้ รวมทั้งสภาพแวดล้อม พันธุกรรมก็ทำให้เกิดโรคได้ร่วมด้วย

ส่วนอีกสัญญาณของโรคมักพบในกลุ่มผู้ป่วยภูมิแพ้ซึ่งหากเป็นไซนัสอักเสบบ่อยเป็น ๆ หาย ๆ อุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นของริดสีดวงจมูกก็เป็นไปได้มากกว่าคนปกติ แต่อย่างไรแล้วปัจจุบันการแพทย์มีความก้าวหน้าสามารถตรวจวินิจฉัยโรคได้ด้วยกล้องขนาดเล็กซึ่งจะส่องเข้าไปในโพรงจมูกเพื่อตรวจวินิจฉัยซึ่งในวิทยาการนี้สามารถพบได้นับแต่ที่ยังมีขนาดเล็ก “ผู้ป่วยที่เป็นโรคริดสีดวงจมูกจะมาด้วยอาการแน่นจมูก เป็นหวัดบ่อย ๆ มีน้ำมูกไหลและถ้าก้อนริดสีดวงใหญ่มากจะไม่สามารถรับรู้กลิ่นได้ บางครั้งอาจมีเลือดออกในจมูกร่วมด้วยซึ่งสิ่งนี้ต้องเพิ่มความระมัดระวัง รีบรับการตรวจวินิจฉัยเพราะอาจจะเป็นโรคริดสีดวงจมูกหรืออาจจะเป็นเนื้องอกที่ไม่ใช่ริดสีดวง

ดังนั้นเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นก่อนที่จะลุกลามไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติในโพรงจมูกและบางกรณีแพทย์อาจจะตรวจทดสอบภูมิแพ้ร่วมด้วยเพื่อที่จะได้ทราบและหลีกเลี่ยง”

ริดสีดวงจมูกพบได้หลายก้อนและมักพบทั้งสองข้างของโพรงจมูก มีทั้งขนาดก้อนใหญ่และเล็ก ทำให้ผู้ป่วยคัดแน่นจมูกซึ่งหากเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้หายใจลำบาก ต้องหายใจทางปาก มีอาการนอนกรนและหากปล่อยทิ้งไว้โดยผู้ป่วยไม่มาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา ก้อนริดสีดวงที่ใหญ่ขึ้นจะดันส่งผลให้จมูก และใบหน้าเปลี่ยนรูปไป ในบางรายถ้ามีไซนัสอักเสบร่วมด้วยอาจจะมีกลิ่นเหม็นในจมูก มีหนองไหล เสมหะมีสีขาวขุ่น เหลืองเขียว ปวดตื้อบริเวณแก้มหรือสันจมูกฯลฯ ซึ่งหากตรวจพบเร็วก็สามารถรักษาได้เร็วซึ่งโอกาสที่จะหายก็มีมาก

ในส่วนของการรักษามีทั้ง การใช้ยาสเตียรอยด์ ซึ่งมีทั้งชนิดพ่น กินและฉีดซึ่งยาจะช่วยลดขนาดของริดสีดวงจมูกและป้องกันไม่ให้มีขนาดโตขึ้น  นอกจากนี้รักษาด้วยวิธี การผ่าตัด รวมทั้งหลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสริมที่กระตุ้นการเกิดโรค อย่างเช่น ถ้าเป็นภูมิแพ้ก็ควรรักษาโรคภูมิแพ้  แพ้แอสไพรินก็ควรหลีกเลี่ยงหรือถ้าเป็นหอบ หืดก็ควรดูแลรักษาสุขภาพ ฯลฯโดยแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัย

จากที่มีการศึกษารวบรวมสถิติไว้ ริดสีดวงจมูกจะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ช่วงอายุเฉลี่ย 20-40 ปี ส่วนที่พบที่อายุน้อยกว่านี้ต้องระวังมากขึ้นเพราะอาจจะกลายเป็นเนื้องอกชนิดอื่นที่ไม่ใช่ริดสีดวงจมูก ขณะเดียวกันถ้าพบในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 60 ปีก็ต้องไม่นิ่งนอนใจอาจเกี่ยวเนื่องกับมะเร็ง

ดังนั้นก่อนต้องเผชิญกับโรคดังกล่าวแพทย์ท่านเดิมให้คำแนะนำว่า หากมีอาการหวัดเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ บ่อยครั้งและเริ่มจะมีอาการดังที่กล่าวมา อย่านิ่งนอนใจควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแผนกหู คอ จมูกเพื่อได้รับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ ซึ่งหากมีความสัมพันธ์กับโรคอื่นไม่ว่าจะเป็นไซนัสอักเสบหรือในบางกรณีอาจมีเรื่องของหอบ หืดร่วมด้วยก็จะได้รับการรักษาทันท่วงที

อีกทั้งในการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์หลากหลาย ออกกำลังกายเป็นประจำและพักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งหลีกไกลจากพฤติกรรมเสี่ยงที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพก็จะช่วยให้หลีกไกลพ้นจากความเจ็บป่วยทั้งปวงอีกด้วย.

รู้ทัน! สารพิษในเสื้อผ้า 'โนนิลฟีนอล' อันตรายมากกว่าปลากลายพันธุ์!


s 540901เสื้อผ้าที่เราสวมใส่กันอยู่เป็นประจำสวยเด่นนำแฟชั่นเพียงใดหลายคนทราบดี แต่สำหรับขั้นตอนการผลิตนั้นคงยากที่ใครจะสนใจว่าปลอดภัย จากสารพิษหรือไม่และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร เพราะถือเป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงแล้วมันใกล้ปากเราเพียงนิดเดียว เนื่องจากมีการใช้สารพิษในกระบวนการผลิตที่มีผลกระทบต่อแหล่งน้ำและอาหารของมนุษย์ ซึ่งในอนาคตหากไม่มีการป้องกันจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ทั่วโลก

พลาย ภิรมย์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านสารพิษ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ให้ความรู้ว่า ปัจจุบันประเทศในกลุ่มเอเชีย เช่น จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เป็นฐานการผลิตเสื้อผ้าส่งออกของโลก โดยมีโรงงานอุตสาหกรรมฟอกย้อมและสิ่งทอเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็รวมถึงประเทศไทยด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดคือในการผลิตผ้านั้นมีการใช้น้ำเป็นจำนวนมาก นั่นหมายถึงต้องมีการปล่อยน้ำเสียออกไปเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน ซึ่งมันไม่ได้เป็นการใช้น้ำและปล่อยน้ำเสียอย่างเดียว แต่มีสารเคมีอันตรายที่ใช้ในกระบวนการผลิตปนเปื้อนไปด้วย

สารเคมีอันตรายที่ว่านี้คือ “สารโนนิลฟีนอลอีทอกซิเลท” (Nonylphenol Ethoxylates หรือ NPEs) เป็นกลุ่มสารเคมีที่เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นไม่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินอกเหนือจากกิจกรรมของมนุษย์ สารประกอบในกลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มอัลคิลฟีนอลอีทอกซิเลท (Alkypheol Ethoxylates หรือ APEs) ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในบรรดาสารลดแรงตึงผิว รวมถึงใช้ในสูตรเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอด้วย เมื่อปล่อยสู่ระบบบำบัดน้ำเสียหรือปล่อยลงสู่สิ่งแวดล้อมโดยตรง สารกลุ่มนี้จะแตกตัวเป็นสาร “โนนิลฟีนอล (Nonylphenol หรือ NPs) และด้วยคุณ สมบัติบางอย่างที่เป็นอันตราย จึงมีการควบ คุมในบางกลุ่มประเทศมาเกือบ 20 ปีแล้ว

สำหรับในประเทศไทยมีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่จำนวนมาก ถือเป็นนัยสำคัญต่อการเกิดปัญหามลพิษทางน้ำ เพราะสารเคมีอันตรายไม่ใช่ทำให้น้ำเสียทั่วไปเหมือนน้ำเสียจากบ้านเรือนหรือจากแปลงเกษตร ที่แค่ทำให้น้ำเน่าและมีวิธีแก้ที่ง่ายด้วยการเติมออกซิเจนลงไป แต่สารพิษอันตรายนี้เมื่อถูกปล่อยออกมาแล้วไม่สามารถกำจัดได้ เพราะมีคุณสมบัติตกค้างยาวนานไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และเมื่อสารพิษไปสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหาร เช่น ไปอยู่ในสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่เป็นอาหารของปลาและเมื่อปลากินสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ นี้เข้าไปก็อยู่ในตัวปลา และเมื่อมาถึงคนซึ่งเป็นห่วงโซ่สูงสุดรับประทานปลาเข้าไปก็ได้รับสารพิษนั้น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงถือว่าเรื่องสารพิษนี้เป็นเรื่องสำคัญ

จากกรณีนี้ทำให้เราออกสำรวจและพบว่าอุตสาหกรรมฟอกย้อมผ้ามีการเกี่ยวโยงกับการใช้สารพิษนี้โดยตอนแรกพบสารโนนิลฟีนอลหรือเอ็นพีในกระบวนการย้อมผ้าและซักล้างที่โรงงานในประเทศจีน  2 แห่งซึ่งโรงงานทั้ง 2 แห่งนี้ได้รับการว่าจ้างจากบริษัทผู้ผลิตเสื้อผ้าแบรนด์เนมต่าง ๆ ให้ผลิตเสื้อผ้า จึงทำให้แบรนด์พวกนี้มีส่วนที่ทำให้เกิดมลพิษในน้ำ และแบรนด์พวกนี้มีการผลิตในประเทศไทยด้วย ที่สำคัญเราพบสารโนนิลฟีนอลในประเทศไทยแล้วจากการสุ่มตรวจดูตัวอย่างน้ำเสียของโรงงานฟอกย้อมที่ถูกปล่อยออกมา โดยสารตัวนี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่มีความเป็นพิษสะสมอยู่ในสิ่งแวดล้อม จากการค้นคว้าศึกษาพบว่าสามารถรบกวนระบบฮอร์โมน ถ้าพูดถึงสัตว์น้ำจะทำให้สัตว์น้ำมีการกลายพันธุ์แปลงเพศ ซึ่งตัวอย่างที่ได้รับการพิสูจน์แล้วคือปลาตัวผู้เบี่ยงเบนเป็นตัวเมีย ถือเป็นสารเคมีอันตรายที่ถูกกำหนดไว้อยู่ในกฎหมายของยุโรปและค่อนข้างต้องการกำจัดสารตัวนี้ ซึ่งเรามีตัวอย่างที่เห็นชัดเจนว่าไม่จำเป็นต้องใช้สารพวกนี้ได้

จากการสุ่มตรวจในแบรนด์กลุ่มใหญ่ที่เป็นที่รู้จักกันดีมียอดขายสูงจนพบสารพิษนี้จึงได้มีการรณรงค์ให้เลิกใช้ ซึ่งผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เป็นผู้นำนวัตกรรมจึงต้องคิดผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ โดยหลังจากรณรงค์ไปแล้วแบรนด์ดังบางแบรนด์ (พูม่าและไนกี้) ได้ออกมาประกาศว่าจะยอมเลิกใช้สารเคมีดังกล่าวและมีนโยบายที่มีข้อมูลชัดว่าใช้สารอะไรในกระบวนการผลิตสามารถตรวจสอบได้ แต่ยังมีบางยี่ห้อที่ไม่ยอมทำตาม หากถามว่าผิดกฎหมายหรือไม่ แน่นอนว่าไม่ผิดกฎหมาย เพราะประเทศในเอเชียกฎหมายอ่อนแอ แต่ถ้าพูดถึงความรับผิดชอบมันเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น เพราะสารเคมีเหล่านี้เป็น สารเคมีอันตราย!!!

s 540901 - 1 - 2-2นอกจากการพบสารโนนิลฟีนอลในกระบวนการผลิตแล้ว เรายังพบสารพิษนี้ปนเปื้อนมากับเสื้อผ้าที่ผู้บริโภคซื้อมาใช้ด้วย เพราะจากตัวอย่างที่เราสุ่มเก็บมาทั้งหมด 78 ตัวอย่าง จาก 18 ประเทศ พบว่า 52 ตัวอย่างมีการปนเปื้อนสารโนนิลฟีนอลจากการซักล้าง ซึ่งใน 52 ตัวอย่างนี้มี 4 ตัวอย่างที่ซื้อจากประเทศไทย  และใน 78 ตัวอย่างนี้มีผลิตในประเทศไทย 6 ตัวอย่าง พบการปนเปื้อน 5 ตัวอย่าง ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าการที่เราไปซื้อเสื้อผ้าจากทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วยคละ ๆ กันไปประมาณ 15 ยี่ห้อ เมื่อนำเสื้อผ้ามาซักและนำน้ำไปเทสต์ ปรากฏว่าพบสารโนนิลฟีนอล นั่นหมายถึงว่าผู้ผลิตใช้สารเคมีอันตรายตั้งแต่กระบวนการผลิตทำให้มาอยู่ในผลิตภัณฑ์เสื้อผ้า และเมื่อมาถึงมือผู้บริโภคเมื่อซักออกมาแล้วก็มีสารพิษนี้อีกเช่นกันจึงกลายเป็นว่าผู้บริโภคที่ใช้เสื้อผ้าเองก็มีส่วนทำให้เกิดมลพิษทางน้ำด้วย

การตรวจสอบพบสารพิษนี้ถือว่าเป็นหนึ่งตัวอย่างที่สำคัญ แต่อาจจะมีสารเคมีอันตรายอื่น ๆ อีกก็ได้ ซึ่งยังไม่ได้ตรวจหรือยังตรวจไม่เจอก็ตาม จึงอยากขอให้ผู้ผลิตหรืออุตสาหกรรมเหล่านี้เลิกใช้สารเคมีอันตรายในกระบวนการผลิตทั้งหมด ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ทราบว่าสารโนนิลฟีนอลที่อยู่ในผลิตภัณฑ์มีอันตรายต่อผู้บริโภคหรือไม่ เพราะยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนถึงความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างสารเคมีนี้กับผู้บริโภค แต่ที่ยุโรปได้กำหนดไว้ว่าผลิตภัณฑ์ทุกอย่างไม่เฉพาะที่เสื้อผ้า หากมีสารโนนิลฟีนอลอยู่เกิน 0.1 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักถือว่าผิดกฎหมายไม่สามารถนำเข้าประเทศได้ แต่ประเทศในกลุ่มเอเชียรวมทั้งประเทศไทยไม่มีกฎหมายนี้

อย่างไรก็ตามทั่วโลกทราบว่าโนนิลฟีนอลมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมชัดเจนและมีผลกระทบต่อมนุษย์ได้จากการปนเปื้อนสารพิษในห่วงโซ่อาหาร โดยสารโนนิลฟีนอล นี้จะเข้าไปรบกวนระบบฮอร์โมนซึ่งไม่ใช่เฉพาะสัตว์แต่รวมถึงมนุษย์ด้วยอาจจะมีฮอร์โมนผิดพลาดหรือทำลายการทำงานฮอร์โมนของมนุษย์ โดยสารตัวนี้มีผลในระยะยาวไม่ใช่แค่โดนสารนี้แล้วจะเป็นทันทีทันใด แต่สารพิษจะค่อย ๆ สะสมอยู่ในร่างกายเมื่อถึงปริมาณที่มากพอแล้วก็ก่อให้เกิดผลกระทบ และที่สำคัญสารพิษนี้ไม่ได้ปนเปื้อนแค่อาหารที่เรารับประทานเข้าไป แต่มันปนเปื้อนในแหล่งน้ำดื่ม ซึ่งก็คือน้ำดื่มของเรามาจากแม่น้ำหากไปอยู่ท่อประปา เมื่อนำมาต้มหรือกรองก็ไม่สามารถกำจัดออกไปได้ทำให้เราได้รับสารพิษ ด้วย

ปัจจุบันยังไม่มีใครทราบว่าผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ในระยะยาวเป็นอย่างไร ซึ่งมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ต้องจะมานั่งรอการพิสูจน์ว่าผลกระทบระยะยาวคืออะไร เพราะสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือป้องกันไว้ก่อน ทำอย่างไรไม่ให้มีสารพิษตัวนี้ลงน้ำและทำอย่างไรไม่ให้สารเคมีเหล่านี้ถูกใช้ในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นทาง เป็นโจทย์ของทุก ๆ คนที่ต้องช่วยกันคิด ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรมควรตรวจสอบว่ามีการใช้สารพิษตัวนี้หรือไม่และรณรงค์ยกเลิกการใช้อย่างเด็ดขาด ภาครัฐต้องเข้ามาดูแลเรื่องกฎหมายควบคุม และสำหรับภาคประชาชนเองควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและร่วมกันเรียกร้องไปยังภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะยี่ห้อเสื้อผ้าต่าง ๆ ที่เราใช้ให้มีความรับผิดชอบในด้านการใช้สารเคมีรวมทั้งมีนโยบายที่ไม่ใช้สารเคมีอันตราย

เมื่อทุกคนให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะทรัพยากรทางน้ำที่ปัจจุบันพบว่าแม่น้ำของไทยกว่าร้อยละ 80 มีคุณภาพเสื่อมโทรมลงไปจากเดิม โดยเฉพาะมลพิษจากอุตสาหกรรมที่ใช้สารเคมีอันตรายเป็นภัยหลักต่อทรัพยากรทางน้ำ เพราะจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและความปลอดภัยทางด้านอาหาร หากทุกภาคส่วนยอมรับและปรับปรุงเรื่องการใช้สารเคมีอันตรายด้วยความโปร่งใส ที่สุดแล้วหากสิ่งแวดล้อมสะอาดตัวเราเองก็จะปลอดภัยจากสารพิษทั้งมวล.


ทำเนียบการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม (PRTR) คืออะไร?

ปัจจุบันสิทธิการเข้าถึงข้อมูลการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรมเป็นไปอย่างจำกัด โดยเฉพาะภาครัฐที่ขาดข้อมูลปัญหาด้านมลพิษจากอุตสาหกรรม ทำให้ทุกวันนี้ไม่มีใครทราบว่าสารเคมีอันตรายมีประเภทใดบ้าง ปริมาณเท่าไรที่โรงงานแต่ละแห่งปล่อยสู่แหล่งน้ำ เมื่อไม่ทราบข้อมูลก็ไม่เห็นปัญหาจึงไม่สามารถลดมลพิษได้ ทำให้หลายประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้วมีระบบจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่า Pollutant Release and Transfer Register : PRTR หรือทำเนียบข้อมูลการใช้งานและปล่อยสารเคมีอันตรายสู่สิ่งแวดล้อมหรือเรียกสั้น ๆ ว่า “ทำเนียบการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม” มาประยุกต์ใช้และมีประโยชน์กับทุกภาคส่วนดังนี้

ภาครัฐ เช่น การติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินนโยบายการลดมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม การวัดความสำเร็จของนโยบายสิ่งแวดล้อม การวางแผนรองรับเหตุฉุกเฉิน การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน การศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการป้องกันมลพิษและผลกระทบต่อสุขภาพ เป็นต้น ภาคอุตสาหกรรม เช่น ตรวจสอบตัวเองหรือปรับปรุงระบบการตรวจสอบภายใน ป้องกันความสูญเสีย กระตุ้นให้ลดเลิกใช้สารเคมีอันตรายและใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยสารเคมีอันตายสู่สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยของคนในโรงงาน และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นต้น ภาคประชาชน เช่น เป็นเครื่องมือช่วยเข้าถึงข้อมูลด้านมลพิษและสารเคมีของโรงงานและของรัฐ การป้องกันตนเองและชุมชน การตรวจสอบโรงงานและเจรจาให้แก้ปัญหา เป็นเครื่องมือส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ปัญหามลพิษ การสร้างกระบวนการเรียนรู้และเสริมความเข้มแข็งของชุมชนและการศึกษาวิจัย เป็นต้น

การประยุกต์ใช้ทำเนียบการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมนี้หลาย ๆ ประเทศประสบความสำเร็จ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ เกาหลีใต้ เม็กซิโก และอีกหลายประเทศกำลังพิจารณานำมาใช้ เช่น จีน ฟิลิปปินส์  ในขณะที่ประเทศไทยพยายามริเริ่มมาใช้แก้ปัญหาบริเวณมาบตาพุด แต่ยังไม่มีแนวทางปฏิบัติและใช้อย่างจริงจัง ซึ่งเรากำลังผลักดันเป็นกฎหมายแต่ต้องรอความเห็นจากภาครัฐ.

**ยางลบกะดินสอ..

**ยางลบกะดินสอ..
......
มีดินสอที่เขียนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่แท่งหนึ่ง
มียางลบที่ลบอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่ก้อนหนึ่ง

ฟังดูอาจตลกทุกคนอาจคิดว่าดินสอกับยางลบเป็นของคู่กันแต่ลองอ่านดูก่อนนะ
ดินสอแท่งนั้นเป็นเพื่อนกับยางลบก้อนนั้น ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันทำอะไรด้วยกัน
หน้าที่ของดินสอก็คือเขียน มันจึงเขียนทุกที่ทุกอย่างเสมอตลอดเวลาที่อยู่กับยางลบ
หน้าที่ของยางลบก็คือลบ มันจึงลบทุกอย่างที่ดินสอเขียนทุกที่ทุกเวลา

เวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ทุกอย่างก็ยังดำเนินเหมือนเดิมเรื่อยมา
จนกระทั่งดินสอเอ่ยกับยางลบว่า เรากับนายคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว
ยางลบจึงถามว่าทำไมล่ะ ดินสอจึงตอบกลับไปว่า
ก็เราเขียนนายลบแล้วมันก็ไม่เหลืออะไรเลย

ยางลบจึงเถียงว่า เราทำตามหน้าที่ของเราเราไม่ผิด

ทั้งคู่จึงแยกทางกัน
ดินสอพอแยกทางกับยางลบมันก็ดีใจที่สามารถเขียนอะไรได้ตามใจมัน
แต่พอเวลาผ่านไปมันเริ่มเขียนผิดข้อความที่สวยๆที่มันเคยเขียนได้ก็สกปรก
มีแต่ รอยขีดทิ้งเต็มไปหมด มันคิดถึงยางลบจับใจ

ฝ่ายยางลบพอแยกทางกับดินสอมันก็ดีใจที่ตัวมันไม่ต้องเปื้อนอีกต่อไป
พอเวลาผ่านไป มันกลับใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีอะไรให้ลบ
มันคิดถึงดินสอจับใจ


ทั้งคู่จึง กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่
คราวนี้ดินสอเขียนน้อยลงเขียนแต่สิ่งที่ดี
ส่วนยางลบก็ลบเฉพาะที่ดินสอเขียนผิด เท่านั้น

ถ้าเปรียบการเขียนเป็นการจำดินสอ ในตอนแรกก็จำทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดี
แต่พอเปลี่ยนไป มันก็หัดเลือกจำแต่สิ่งดีๆเท่านั้น
ส่วนการลบเปรียบเหมือนการลืม ยางลบในตอนแรกก็ลืมทุกอย่างทั้งดีและไม่ดี

แต่ทุกครั้งที่ลืมเรื่องไม่ดีตัวมันก็จะสกปรกแต่ตอนหลังมันเลือกลืมแต่เรื่องไม่ดี
หรือ คือการให้อภัยนั่นเอง


ฉะนั้น
การเปรียบการเดินทางของทั้งคู่ดุจมิตรภาพ
คือ การจำแต่สิ่งดีๆ และลืมในสิ่งที่อาจผิดพลาดบ้าง
ขอให้ทุกคนเป็นอย่างดินสอกับอย่างลบตอนหลังนะ

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

70 เรื่องที่บางคน(ยัง)ไม่รู้

11 วิธีการป้องกันโจรร้าย

11 วิธีการป้องกันโจรร้าย


สมัยนี้โจรร้ายช่างเหิมเกริมเป็นอย่างมาก พิธีกรสาวถูกยกเค้าไปถึง 4 ครั้งในรอบไม่กี่เดือน วันนี้สาระน่ารู้มี 11 วิธีการป้องกันโจรร้าย จากสถานนีตำรวจทุ่งมหาเมฆมาฝากทุกคนเพื่อป้องกันระวังตัว
1. ไม่ควรทิ้งบ้านไว้โดยไม่มีคนเฝ้าดูแล ควรให้มีคนที่ไว้วางใจอยู่เฝ้าดูแลบ้าน และควรตรวจสอบว่าปิดประตู หน้าต่างใส่กลอนเรียบร้อยแล้ว ก่อนออกจากบ้าน
2. กรณีที่ไม่อยู่บ้านควรขอความร่วมมือจากเพื่อนบ้าน ฝากให้ช่วยดูแลบ้านให้ด้วย
3. ที่ว่างเปล่าที่อยู่ติดกับที่พักอาศัยไม่ควรปล่อยให้มีต้นไม้ หรือหญ้าขึ้นสูง เพราะคนร้ายอาจใช้เป็นที่กาบังเข้าทาการลักทรัพย์ และใช้เป็นที่ซ่อนตัว หรือหลบหนี
4. ควรเลี้ยงสุนัขไว้เพื่อช่วยเตือนภัย และขังสุนัขไว้ในกรงป้องกันการถูกวางยา
5. เมื่อมีผู้โทรศัพท์มาถามว่ามีใครอยู่บ้านหรือไม่? ให้ตอบไปว่ามีอยู่กันหลายคน
6. ควรเล่ารายละเอียดกลอุบายต่างๆของคนร้ายให้กับคนรับใช้ หรือผู้ที่พักอาศัยทราบเพื่อเตือนสติอย่าให้หลงเชื่อเล่ห์เหลี่ยมของคนร้าย และมีการเตรียมพร้อมในการป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น


7. การติดตั้งสัญญาณแจ้งภัยควรใช้สัญญาณไซเรน เนื่องจากคนร้ายมักจะกลัวเสียงดัง และช่วยให้เพื่อนบ้านใกล้เคียงได้ยินจะได้ช่วยเหลือแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตารวจทราบทันถ่วงที!
8. หยุดรับหนังสือพิมพ์กรณีไม่มีคนอยู่บ้าน เพราะหากไม่มีผู้รับจะเป็นที่สังเกตว่าไม่มีคนอยู่บ้าน
9. การจ้างคนงาน คนรับใช้ หรือพนักงาน ควรมีสาเนาบัตรประชาชน หรือบัตรประจาตัวต่างๆ ถ่ายรูป และจดรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติส่วนตัว ญาติพี่น้อง เพื่อทราบที่อยู่ความเป็นมา อาชีพดั้งเดิม ความประพฤติตลอดจนญาติพี่น้อง หากต้องการให้เจ้าหน้าที่ตารวจพิมพ์ลายนิ้วมือ เพื่อทาการตรวจสอบประวัติก็ให้ขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตารวจท้องที่
10. เมื่อทราบว่ามีคนร้ายเข้าบ้าน อย่าพยายามจับคนร้ายด้วยตนเอง เพราะอาจได้รับอันตรายให้รีบแจ้งให้ตารวจทันที
11. ให้รักษาสถานที่เกิดเหตุไว้ ห้ามเคลื่อนย้ายจนกว่าเจ้าหน้าที่ตารวจจะมาถึง

น้ำมันมะกอก สาระพัดประโยชน์ ลดเสียงกรน

น้ำมันมะกอก สาระพัดประโยชน์ ลดเสียงกรน



น้ำมันมะกอก
น้ำมันมะกอก


คุณรู้หรือไม่ว่าน้ำมันมะกอก เป็นนำมันพิเศษที่มีสรรพคุณแก้สาระพัดโรค ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด จึงช่วยป้องกัน
โรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะการแก้อาการนอนกรนได้อีกด้วย วันนี้มีทำความรู้จัดน้ำมันมะกอกกันดีกว่าครับ
มะกอกจัดเป็นผลไม้ที่มีเม็ดในแข็ง หนึ่งลูกจะมีหนึ่งเมล็ด เป็นพืชที่ทนได้ทุกสภาวะอากาศ ดอกมะกอกจะออกช่อในช่วงปลายฤดูหนาว มีดอกเล็กๆ สีขาว ผลจะโตเต็มที่ประมาณ 7-8 เดือนหลังออกดอกลำต้นจะสูงตั้งแต่ 3 เมตร จนถึง 18 เมตร ใบเรียวยาวสีเขียวเข้ม มีหลากหลายพันธุ์
น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูง แต่มีข้อดีคือมีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง และเป็นไขมันชั้นดี
ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด จึงช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้ในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วย
วิตามินวิตามินเอ และอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ทำให้น้ำมันมะกอกไม่เหม็นหืน โดยไม่ต้องเติมสารกันหืนเหมือนน้ำมันพืช
บางชนิด
ตัวผลมีรสขมและฝาด เมื่อแก่จัดสีจะเปลี่ยนจากเขียวจนเป็นสีคล้ำจนเกือบดำ มะกอกเป็นผลไม้ที่มีน้ำมันมากที่สุด ในผลมะกอกที่แก่จัด 100 กรัม ให้น้ำมันถึง 20-30 กรัม การสกัดเอาน้ำมันต้องเลือกผลที่แก่จัด จึงจะได้น้ำมันมะกอกที่มีประสิทธิภาพ
น้ำมันมะกอกถึงแม้จะมีแคลอรี่สูง แต่มีข้อดี คือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง ทำให้ไม่เกิดไขมันสะสมในร่างกาย และน้ำมันมะกอกยังช่วยให้คนที่มีอาการนอนกรนลดเสียงกรนให้เบาลงได้ ด้วยการกินน้ำมันมะกอกสำหรับทำอาหาร ซึ่งควรเลือกแบบ EXTRA VIRGIN OLIVE OIL เพราะ เป็นแบบบริสุทธิ์ มีสีเขียวเข้มใส และนิยมนำมาใช้ในการทำสลัด
กินสัก 4-5 หยดก่อนนอน ทำอย่างต่อเนื่อง และทำควบคู่ไปกับวิธีดูแลสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับมาตรฐาน จะช่วยแก้ปัญหานอนกรนให้หมดไปได้
นอกจากคุณสมบัติต่างๆ ที่ไ่ด้กล่าวไปแล้วน้ำมันมะกอกยังสามารถนำมาปรุงอาหารได้ดีอีกด้วย

1. นำมาใช้เป็นส่วนผสมในการทำน้ำสลัด หรือน้ำจิ้ม
2. นำมาใช้ในการผัด ชนิดที่ใช้น้ำมันน้อย เช่นผัดผักเร็ว ๆ ผัดกระเพรา มักกะโรนี สปาเก็ตตี หรือ พาสต้า
3. นำมาใช้ในการหมักเนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆ ก่อนที่จะนำไปอบจะทำให้เนื้อนุ่มขึ้น
4. ใช้เป็นน้ำมันสำหรับทอด จะช่วยให้อาหารไม่อมน้ำมันเนื่องจากน้ำมันมะกอกจะให้ความร้อนสูง ทำให้อาหารสุกทั่วถึงอย่างรวดเร็ว ไม่สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

Blueberry Cakes บูเบอร์รี่เค้ก สูตรไม่อ้วน

Blueberry Cakes บูเบอร์รี่เค้ก สูตรไม่อ้วน

Attention, เปิดในหน้าต่างใหม่. PDFพิมพ์อีเมล


Blueberry Cakes บูเบอร์รี่เค้ก สูตรไม่อ้วน

Blueberry Cakes บูเบอร์รี่เค้ก สูตรไม่อ้วน


มาดูสูตรการเลยนะคะ


1.แป้งข้าวโพด 1 1/2 ถ้วย

2.แป้งอเนกปสงค์  1/2 ถ้วย

3.ผงฟู 1 ชช.

4.ไข่ขาว 2 ใบ

5.น้ำแอ็ปเปิ้ลแบบธรรมชาติ ไม่ใส่น้ำตาล 1/2 ถ้วย

6.นมสดแบบไขมันต่ำ 1 1/2 ถ้วย

7.น้ำมัน 1 ชต.

8.บูเบอร์รี่สด จะหวานกว่าแบบแช่แข้ง 1 ถ้วย

ขั้นตอนการทำ

1. เท แป้งข้าวโพด แป้งอเนกปสงค์ ผงฟู เข้าด้วยกัน

2. ตีไข่ขาวจนขึ้นฟู

3. ผสม น้ำแอ็ปเปิ้ล นมสด น้ำมัน เข้าด้วยกัน แล้วเทไข่ขาวที่ตีขึ้นฟูลงตามไปคนให้เข้ากัน

แล้วตามด้วยแป้งข้าวโพด แป้งอเนกปสงค์ ผงฟู ที่ผสมรวมกันไว้แล้ว คนส่วนผสมให้เข้ากันดี

4. เทใส่ถาดอบ แล้วโรยด้วยบูเบอร์รี่

5. นำเข้าเตาอบที่ 425/30-35 นาที

เมื่อเราวางทับกันจะทำให้บูเบอรีรี่แตก และน้ำมันจะราดเนื้อเค้ก อร่อยมากเลยค่ะ


**สำหรับคนควบคุมน้ำหนัก หรือกลัวอ้วน ไม่ต้องปาดหน้าด้วยไอซิ่งนะคะทานได้เลย ยิ่ง

ทานตอนกำลังอุ่นๆ อร่อยค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจากคุณแพรวาและรูปภาพสวยๆจากกูลเกิล

มาสเมโร่ Marshmallows Honey Heart

มาสเมโร่ Marshmallows Honey Heart

ลงโฆษณาที่นี่
มาสเมโร่ Marshmallows Honey Heart
มาสเมโร่ Marshmallows Honey Heart

มาสเมโร่  Marshmallows Honey Heart
ส่วนผสม
1.เจลาติน 2 ซอง (1 ซอง มี 1/2 ชต.+ 1 ชช.)
2.น้ำเย็น 6 ชต.
3.น้ำตาลทราย 1 1/3 ถ้วย
4.น้ำผึ้ง หรือ Corn syrup 1/2 + 2 ชต.
5.น้ำเปล่า 1/4 ถ้วย
6.เกลือ 1/4 ชช.
7.วนิลา 1 ชช. หรือใส่กลิ่นอิ่นๆ
8.น้ำตาลไอซิ่ง(Powder sugar) ประมาณ 1 ถ้วย
9.สีผสมอาหาร สีชมพู และฟ้า หรือสีอื่นๆตามชอบ

ขั้นตอนการทำ
1.ผสม น้ำผึ้ง  น้ำตาล น้ำเปล่า1/4 ถ้วย ลงในหม้อยกขึ้นตั้งไปกลางค่อยๆคนไปด้วยจนน้ำตาลละลายหมด
2.พ่นสเปร์ยน้ำมันลงบนถาด และวางทับด้วยกระดาษไข
3.ผสมเจลาติน กับน้ำเย็น 6 ชต. ลงในผสม ทิ้งไว้สัก 1 นาที
4.เทน้ำหวานในข้อที่ 1 ลงในเจลาติน ในข้อที่ 3  เริ่มเปิดเครื่องตีด้วยสปีดต่ำ 3 นาที
5.ใส่สีผสมอาหารสีชมพู 4 หยด เกลือ แล้วเริ่งสปีดสูงอีก 7 นาทีหรือจนเหนียวข้นขึ้นฟู

6.เสร็จแล้วจะเหนียวค่ะ แล้วเทใส่ถาดค่อนมาข้างใดข้องหนึ่ง ปาดหน้าให้เรียบ ฉีดสเปร์ยน้ำมันทับบางๆ แล้ววางกระดาษไขทับลงไปใช้มือกดเบาๆให้หน้าเรียบเท่ากัน

7.จากนั้นทำเหมือนข้อ 1 – 5 แต่ใช้สีฟ้าแทน แล้วเทลงในถาดฝั่งที่เหลือปาดหน้าให้เรียบ ฉีดสเปร์ยน้ำมันทับบางๆ แล้ววางกระดาษไขทับลงไปใช้มือกดเบาๆให้หน้าเรียบเท่ากัน

8.เมื่อทำทุกสีหมดแล้ว วางทิ้งไว้บนโต๊ะทิ้งไว้ข้ามคืน

9.วันต่อมา ตั้งน้ำเดือดแล้วนำพิมพ์ลงแช่ไว้ 30 วินาที นำขึ้นมาเช็ดให้แห้งแล้วคลุกกับน้ำตาลไอ้ซิ่งป่น

10.ในถาดมาสเมโร่ เอากระดาษไขออก โรยน้ำตาลไอซิ่งลงไปให้ทั่วแซะด้านข้างออก แล้คว่ำลงบนโต๊ะ แล้วนำกระดาษไขที่ติดออก โรยน้ำตาลไอ้ซิ่งอีก

11.นำพิมพ์ที่คลุกน้ำตาลไอ้ซิ่งมากดมาสเมโร่รูปต่างๆตามชอบ กดทีเดียวให้ขาดแล้วดึงขึ้นมา นำไปคลุกกับน้ำตาลไอ้ซิ่งไว้ไม่ให้เหนียวติดกัน และก่อนจะกด
ชิ้นต่อไปนำพิมพ์คลุกน้ำตาลไอ้ซิ่งอีกรอบ *ต้องนำพิมพ์คลุกน้ำตาลไอ้ซิ่งทุกรอบก่อนนำไปกดค่ะ*

12.นำมาสเมโร่ที่คลุกน้ำตาลไอ้ซิ่งแล้วมาใส่กระชอนฝัดให้ละอองน้ำตาลหลุดออก เหลือแต่ที่ติดมาสเมโร่เท่านั้น

13.ส่วนนี่ที่เหลือหลังจากกดได้รูปตามชอบ ใช้กรรไกรตัดๆ แล้วแต่ชิ้นเล็กใหญ่
แล้วนำไปคลุก ฝัด เหมือนมาสเมโร่ที่ใช้พิมพ์กดค่ะ>>เสร็จแล้วค่ะ<<

ร้านอาหาร - ร้านหน้าบ้าน

ร้านหน้าบ้าน



หน้าบ้าน พร้อมเสริฟอาหารรสชาดไทยแท้ในสไตล์โมเดิร์นร่วมสมัย ร้านตกแต่งในแบบนั่งสบายๆเพื่อไว้สังสรรค์หลังเลิกงานหรือไปพักผ่อนในยามว่าง จิบค๊อกเทลรสชาดนุ่มๆ ในบรรยากาศเป็นกันเอง

เปิดตัวกันไปแล้วสำหรับ Urban Square ถ.ประชาชื่น (ซอยข้างมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต) เมื่อเข้าไปถึงก็สะดุดตากับร้านอาหารไทยที่ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นชื่อร้านเก๋ๆว่า “หน้าบ้าน”



อาหารที่นี่รับประกันความสดเพราะส่งตรงมาจากแม่น้ำแม่กลอง สมุทรสงครามกันเลยทีเดียว


นอกจากนั้นเชฟฝีมือดียังมีประสบการ์ณในการปรุงอาหารมานานถึง 18 ปี เช่น Chef Kunhathai และ Chef Tatar ซึ่งมีประสบการณ์ในการปรุงอาหารในต่างประเทศอย่างเชี่ยวชาญ



อาหารทุกจานจึงออกมาหน้าตาน่ารับประทานอย่างที่เห็นในรูป เมื่อได้ลองรสชาดอาหารก็ไม่ผิดหวัง รสชาดอาหารไทยแท้ๆที่ไม่ปรุงรสจัดจนเกินไปเป็นอาหารไทยประยุกต์ที่ยังคงรสชาดความเป็นอาหารไทยแท้ๆไว้ได้อย่างลงตัว

นอกจากนั้น ค๊อกเทลรสละมุนก็ได้ Bartender Oliver Oil มือดีที่มีประสบการณ์จากการปรุงค๊อกเทลรสหรูจาก Novotel Bangkok



อาหารและค๊อกเทลจาก Chef และ Bartender ฝืมือเยี่ยมที่นี่เทียบเท่ากับมาตราฐานของโรงแรมหรูหรา แต่ราคากลับเท่ากับร้านอาหารทั่วๆไปและบรรยากาศในร้านก็เป็นกันเอง นั่งสบายๆกับดนตรีที่ไม่เสียงดังจนเกินไป

ทำให้ร้าน “หน้าบ้าน” เป็นร้านอาหารที่อยากจะนำมาแนะนำให้ทุกคนได้ลองแวะไปพักผ่อน ทานอาหาร หรือสังสรรค์กันในวันสบายๆ

พิเศษในเทศกาลวันวาเลนไทน์ ลุ้นรับบัตรรับประทานอาหารมูลค่า 500 บาทฟรี 10 รางวัล สำหรับ 10 ท่านแรกที่โทรไปที่ร้าน เบอร์02 589 3133

ร้านอาหาร อากิโยชิ!!!

อากิโยชิ  Akiyoshi

อากิโยชิ

เข้าสู่ช่วงวีคสุดท้ายของเดือนแล้วค่ะ มาเตรียมตัวฉลองสิ้นเดือนกันดีกว่า ตั้งใจว่าจะไปหาอาหารญี่ปุ่นร่อยๆ ที่ร้าน Akiyoshi ทานซะหน่อย อาจจะคุ้นหูคุ้นตาร้านนี้กันบ้าง We Recommend ถือโอกาสพาทุกท่านไปรู้จักที่นี่อย่างเป็นทางการพร้อมกันเลย
อากิโยชิ
เอ่ยชื่อถึง Akiyoshi ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องชาบู-ชาบู และสุกียากี้สไตล์ญี่ปุ่น เพราะเจ้าของร้านนำสูตรอาหารมาจากญี่ปุ่นโดยตรง ฉะนั้นมั่นใจได้ว่า รสชาติอาหารที่นี่เป็นเหมือนต้นตำรับดั้งเดิมแน่นอน แล้วรู้มั้ยคะว่าที่นี่เค้าก็มีอาหารญี่ปุ่นแสนอร่อยแบบ A La Carte ให้เลือกทานเพียบเลย ทั้ง ซูชิ ซาชิมิ ยากิโทริ เทมปุระ ข้าวหน้าต่างๆ ฯลฯ
อากิโยชิ
รสชาติจะอร่อยสมคำร่ำลือรึเปล่า เรามาพิสูจน์กันเลย เริ่มที่เมนู Appetizer อันดับแรก Gyoza (90 บาท) เกี๊ยวซ่าทอดมาใหม่ๆ แป้งและใส้หอมนุ่ม ตามมาด้วย Tori Niku (50 บาท) เนื้อไก่ย่างหมักซอสญี่ปุ่น ใครชอบปลาดิบห้ามพลาด Salmon Sashimi (180 บาท) แซลมอนสดเนื้อหวาน, Maguro Akami (180 บาท) เนื้อปลาโอ และ Tako (180 บาท)
อากิโยชิ
ปลาหมึกทาโกะ หรือจะสั่งเป็นชุดใหญ่ Sashimi Moriawase (900 บาท) ปลาดิบรวมชุดใหญ่, Sushi Nikiri (450) ข้าวปั้นหน้ารวมชุดกลาง และ California Roll (160 บาท) ข้าวปั้นห่อสาหร่ายคลุกไข่กุ้ง
อากิโยชิ
ส่วนประเภทของทอดมี Tori Karaage (110 บาท) ไก่ชุบแป้งทอด, Tonkatsu (130 บาท) หมูชุบแป้งทอด, Ebi Tempura (300 บาท) เทมปุระกุ้งล้วน หรือถ้าชอบทานข้าวแนะนำ Katsudon (140 บาท) ข้าวหน้าหมูทอด, Unakidon (420 บาท) ข้าวหน้าปลาไหล หรือเป็นชุดใหญ่อย่าง Saba Teishoku Set ชุดปลาซาบะย่าง (180 บาท)
อากิโยชิ
มาถึงเมนูไฮไลท์ประจำร้าน คือ Shabu Shabu และ Sukiyaki ถ้าสั่งเป็นบุฟเฟ่ต์สนนราคา 390 บาทต่อท่าน หรือถ้าอยากทานทั้ง 2 อย่าง คิดเพิ่มท่านละ 40 บาทค่ะ ในเซตบุฟเฟ่ต์เราจะสั่งอะไรได้บ้าง เริ่มจากเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อ โดยเฉพาะคนที่ชอบทานเนื้อ ของร้านนี้อร่อยเด็ดจริงๆ เพราะเค้าคัดเนื้ออย่างดีสไลด์บาง เห็นเป็นลายของชั้นเนื้อ เสิร์ฟมาพร้อมชุดผักสดและเส้น
อากิโยชิ
ส่วนวิธีรับประทานนะคะ ชาบู-ชาบู จะมีน้ำซุปอุ่นร้อนๆ บนเตา อยากทานอะไรก็ใส่ลงไปลวก จิ้มกับน้ำจิ้มซึ่งจะมี 2 อย่าง คือ น้ำจิ้มงา และน้ำซอสต้นหอมกับพริกตำ น้ำซุปมีความกลมกล่อม ยิ่งผ่านการต้มเนื้อและผักยิ่งเพิ่มความหวานอร่อยค่ะ ส่วนสุกียากี้ จะมีกระทะตั้งมาบนเตา เวลาทานให้นำน้ำซุปที่แยกไว้เทลงไปในกระทะพอประมาณ แล้วนำเนื้อและผักใส่ลงไป รสชาติของสุกี้จะออกหวานเค็มนำค่ะ
อากิโยชิ
กว่าจะ Recommend หมดครบทุกอย่างก็เล่นเอาเหนื่อยเลยทีเดียว แต่เป็นการเหนื่อยควบคู่ไปกับความสุขที่ได้ทานของอร่อยค่ะ แล้วคุณเองอยากจะมีความสุขเหมือนเราบ้างมั้ยล่ะคะ ถ้าอยาก แนะนำให้รีบยกโทรศัพท์สำรองที่นั่งโดยด่วน เพราะที่นี่ลูกค้าแน่นเอี๊ยดทุกวัน เดี๋ยวจะหาว่าไม่บอกนะ

คุยกับ "Akiyoshi"
ร้านนี้โด่งดังเรื่องชาบูชาบู และสุกียากี้สไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ จะบอกว่าติดอันดับ Top 10 โด่งดังที่สุดในกรุงเทพเลยก็ว่าได้ เพราะเจ้าของร้านนำสูตรอาหารมาจากญี่ปุ่นโดยตรง ฉะนั้นมั่นใจได้ว่า รสชาติอาหารที่นี่เป็นเหมือนต้นตำรับดั้งเดิมแน่นอน การันตีได้จากบรรดาชาวญี่ปุ่นและชาวไทยอย่างเราๆ แวะเวียนมาทานอาหารที่นี่ไม่ขาดสายค่ะ นอกจากชาบูชาบูและสุกียากี้แล้ว ยังมีเมนูอาหารแบบ A La Carte ให้เลือกทานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ซูชิ ข้าวปั้น เทมปุระ ราเม็ง ฯลฯ เอาเป็นว่าโปรดเมนูแบบไหนก็เลือกสั่งได้ตามชอบเลยค่ะ

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

หลุมดำ สัตว์ร้ายในอวกาศ


นำข้อมูลมาจาก http://www.rakbankerd.com ครับ
         ความเวิ้งว่างเปล่าเหนือหัวคนเราขึ้นไปนั้น เป็นเอกภพมหามหึมาอันมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเหลือสติปัญญาที่จะหยั่งคะเนได้ สถานที่อันไร้อาณาเขตนี้นั้นก็ประกอบด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ที่คุมกันหลวมๆ เป็นจักรวาลและจักรวาลน้อยใหญ่ก็มีอยู่เหลือคณานับ เคลื่อนคล้อยในเอกภพอันไร้ขอบเขตด้วยจำนวนอันไร้ปริมาณ
         ธรรมชาติมิได้สร้างความเรียบร้อยสวยงามให้ปรากฏขึ้นอย่างเดียว แต่ธรรมชาตินี่แหละที่ก็ได้สร้างความเหี้ยมเกรียม ความหายนะให้เกิดควบคู่กันไปด้วย ใครจะคิดได้
ว่า อันดวงดาวทั้งปวงที่เห็นดารดาษบนท้องฟ้านั้น คืออาหารอันโอชะของเจ้าสัตว์ร้ายพวกหนึ่งที่คอยจ้องเขมือบดาวเหล่านี้ให้สูญหายไป ตราบใดก็ตามที่ดาวน้อยใหญ่ทั้งหลายเผลอเรอหลงเข้าไปในแวดวงที่มัน “
อาศัย” อยู่?
         สัตว์ร้ายที่ว่านี้ นักวิทยาศาสตร์บนดาวเล็กๆ ดวงที่เรียกว่าโลกนี้เขาตั้งชื่อมันเอาไว้ว่า “แบล็ค โฮล” หรือแปลกันง่ายๆ คือ “หลุมดำ
        ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา นับแต่ปี พ.ศ. 2513 นั้น นักวิทยาศาสตร์สาขาดาราศาสตร์ทั้งหลายก็พากันบอกเป็นเสียงเดียวว่า เจ้าสิ่งที่เรียกว่าหลุมดำหรือแบล็ค โฮลนั้นได้จัดการออกล่าเหยื่อเขมือบดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้าไปแล้วมากต่อมาก และหลังจากเขมือบดาวเหล่านี้ไปชั่วระยะหนึ่งแล้ว มันก็หยุดการล่าเหยื่อของมันไปชั่วระยะหนึ่ง
        ช่วงที่แบล็ค โฮลอยู่เฉยๆ ไม่อนาทรคันปากคันคอจะกินดาวอย่างที่เคยนั้น นักดาราศาสตร์นั่นแหละที่เขาบอกว่ามันกำลังขอเวลาสำหรับ “ย่อย” ดาวที่เป็นอาหารของมันอยู่ มาถึงตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญที่เฝ้าสังเกตสังเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ กำลังร้องบอกว่าเจ้าหลุมดำ หรือแบล็ค โฮลนี้ เริ่มต้นที่จะออกล่าเขมือบดวงดาวใหม่แล้วแต่โชคดีที่ว่าโลกเรานั้นยังอยู่ไกลมากจากถิ่นที่สัตว์ร้ายแห่งเอกภพนี้มันสิงสถิตอยู่ ไม่เช่นนั้นสักวันหนึ่งโลกใบนี้ ก็คงถูกมันเขมือบ และจัดการย่อยอร่อยปากอร่อยกระเพาะมันไปเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม วันสุดท้ายของโลกและสุริยจักรวาลนั้นก็ยังมีโอกาสมาถึงเหมือนกัน เพราะดวงดาวเพื่อนบ้านตลอดจนถึงดวงอาทิตย์ อาจจะถือว่าสุริยจักรวาลทั้งระบบนั้นกำลังค่อยๆ ถูกดูดให้เข้าไปหาเจ้าแบล็ค โฮลนี้ทีละน้อยๆ แต่ว่าเรื่องนี้ก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจขนข้าวของอพยพกันหรอกนะครับ เพราะนักดาราศาสตร์กล่าวว่า อีกอย่างน้อยๆ ก็นับสิบๆ ล้านปีนั่นแหละกว่าที่โลกจะกลายเป็นเหยื่อเจ้าสัตว์ร้ายแห่งเอกภพ เวลาป่านนั้นเราจะตายไปเกิดที่ไหนอีกกี่สิบกี่ร้อยหรือกี่ล้านชาติก็ไม่รู้
         ปรากฎการณ์สัตว์ร้ายแห่งเอกภพหรือหลุมดำนี้อาจจะมีมานานนับร้อยพันหมื่นล้านปีมาแล้ว แต่ก็เพิ่งเป็นที่ประจักษ์กันในหมู่มนุษย์เพียงไม่นานมานี้ ก็เมื่อคนเรามีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ สามารถพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้รอบตัวให้ทันสมัยสมใจนึกมากขึ้น เพราะความก้าวหน้านี้เอง ที่ทำให้เราได้มองเห็นเจ้าสัตว์ร้ายนี้ ด้วยความรู้จากสมมติฐานกลายไปเป็นทฤษฎี
         เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2451 หรือ 81 ปีมาแล้ว มีปรากฎการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่บริเวณทุ่งทุงกัสทางตอนกลางของไซบีเรีย ปรากฏการณ์นี้ได้แก่การระเบิดเสียงกึกก้องกลางอากาศ และมีการสั่นสะเทือนอย่างมหาศาลของแผ่นดินบริเวณนั้นและในอาณาเขตรัศมีหลายร้อยกิโลเมตรโดยรอบ บรรดาผู้ที่อาศัยในละแวกทุงกัสนั้นต่างให้การเป็นเสียงเดียวกันว่า ขณะเกิดการระเบิดนั้นพวกตนแสบตาจ้าไปหมดด้วยแสงอันขาวนวลอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน แสงนั้นทำให้ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์ที่กำลังส่องสว่างนั้นมืดมิดไปชั่วขณะ และเกิด “เสาไฟมหึมา” พลุ่งขึ้นมาจากพื้นโลก
         เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้ว สิ่งหนึ่งที่ยังคงปรากฎอยู่ในทุ่งทุงกัสแม้จนกระทั่งวันนี้อันเป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษแล้วก็ตาม คือ สภาพหงิกงอของไม้ไร่ในป่าแถบนั้น กระหย่อยใหญ่เหมือนกับถูกมือยักษ์ทึ้งและเผาราบ ไม้ใหญ่น้อยนี้ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ก็ไม่มีไม้ต้นใหม่เกิดขึ้นนักวิทยาศาสตร์ได้บุกบั่นเข้าไปทำการสำรวจค้นคว้าบริเวณนี้อยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่มีใครลงมติเห็นพ้องกันว่าสาเหตุของปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แม้ว่าจะเห็นตรงกันว่ามันเป็นหายนะที่มาจากฟากฟ้าเหนือหัว
         สาเหตุที่เกิดการทำลายป่าครั้งใหญ่ และสิ่งประหลาดที่ชาวทุงกัสยุคนั้นได้พบเห็นชนิดตายไปก็ยังลืมไม่ลงนั้นยังมีการโต้แย้งต่างๆนานา อะไรเกิดขึ้นที่ไซบีเรียครั้งนั้นตอนนี้สามารถแยกสาเหตุออกไปได้คือ ส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นผลจากการที่สะเก็ดดาวขนาดมหึมาชิ้นหนึ่งหล่นเข้ามาอยู่ในปริมณฑลแรงดึงดูดของโลก แล้วก็เลยถูกดูดลงมาถล่มเอาบริเวณดังกล่าว เหตุผลหนึ่งไปไกลกว่านั่นคือเชื่อว่าอาจจะมีมนุษย์ต่างดาวนำยานของตนมาฉวัดเฉวียนทำนองสำรวจโลกพระเคราะห์ที่มนุษย์อาศัยอยู่ และให้เกิดอุบัติเหตุเชื้อเพลิงคือพลังนิวเคลียร์ในยานลำนั้นแผลงฤทธิ์ปึงปังออกมา มันก็เท่ากับการหยอดระเบิดนิวเคลียร์ลงไปบนทุ่งทุงกัสที่ว่าทำให้แหลกลาญไปหมด
          แต่ทฤษฎีล่าสุดที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งไว้สำหรับกรณีลึกลับแห่งทุง่ทุงกัสนี้คือ อาจจะเป็นไปได้ที่โลกเจอเข้ากับรายการ “แทะเล็ม” ของปรากฎการณ์ชนิดหนึ่ง ที่เพิ่งจะมีการค้นพบกันไม่นานมานี้ที่เผอิญเป็นปรากฎการณ์ระดับไม้จิ้มฟันของเอกภพ นั่นคือผลจากการอาละวาดของเจ้าแบล็ค โฮล
         เรื่องนี้ก็อาจจะเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “อภินิหารเจ้าหลุมดำ”
         หลุมดำหรือแบล็ค โฮลนี้เป็นภาพที่มองไม่เห็นในเอกภพ แต่ว่ามันสัมผัสได้ด้วยการสังเกตได้ด้วยผลที่บังเกิดขึ้นรอบๆ ตัวของมัน ก็คือการหายไปของดาวต่างๆ ที่กล้องโทรทัศน์จากผิวโลกมองออกมาและบันทึกเอาไว้เปรียบเทียบกัน แสดงถึงอำนาจอันมหาศาลของเจ้าตัวร้ายแห่งเอกภพ
         ในปี พ.ศ. 2447 เอฟ.ดับเบิลยู เบสเซล นักดาราศาสตร์สำคัญคนหนึ่งแห่งหอดูดาวคอนิกบูร์ก ของปรัสเซียปัจจุบันคือหอดูดาวแห่งคาลินนินกราด สหภาพโซเวียตได้เฝ้าสังเกตดาวฤกษ์สำคัญดวงหนึ่งที่รู้จักกันมากแต่สมัยดบราร ก็คือซิริอุส หรือดาวหมาที่ชาวไอยคุปต์ถือเป็นดาวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล และพบโดยบังเอิญว่าดาวซิริอุสนี้มิได้เดินไปตามที่ตามทางของมัน หากแต่ดูเหมือนคล้ายกับว่ากำลังอยู่ในวิถีที่จะหลับอะไรสิ่งหนึ่งที่มองไม่เห็น
         นักดาราศาสตร์รุ่นหลังจากเบสเซลได้ติดตามสานต่องานของเขาและพบว่า ใกล้เคียงกับดาวซิริอุสนั้น มีดาวดวงหนึ่งขนาดเล็กกว่ากำลังมีแสงริบหรี่ลงไปกว่าปกติแต่ในไม่นานหลังจากนั้น มันก็ส่งแสงสว่างจ้าข่มดาวซิริอุสซึ่งว่าสว่างแล้ว เป็นปรากฎการณ์ต่อเนื่องอยู่หลายปี แล้วจากนั้นมันก็หายไปจากกล้องโทรทัศน์ หลังจากที่มันหายไปแล้วนั่นเอง ปรากฏว่าจำนวนดาวน้อยๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าในละแวกที่อยู่ใกล้เคียงกับดาวที่หายไปนั้นลดลงเรื่อยๆ และก็ทรงตัวอยู่ชั่วระยะหนึ่งจากนั้นก็ลดจำนวนลงไปอีก
จนละแวดนั้นนอกจากดาวซิริอุสแล้ว เป็นที่เวิ้งว้างว่างเปล่าปราศจากดาว เหมือนกับใครไปถอนหญ้าในแปลงเล็กๆ เสียเตียน
         ปรากฏการณ์ที่รวบรวมได้จากการสังเกตนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้นำมาศึกษาวิจัยกันแล้ว และพบว่าเป็นกำเนิดของหลุมดำหรือสัตว์ร้ายแห่งเอกภพอันเนื่องจากการถึงแก่กาลอวสานของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่
         มีการเอากรณีปรากฎการณ์ประหลาดที่ไซบีเรียครั้งนั้นมาพิจารณาประกอบด้วย นักเคมีชาวอเมริกันนายหนึ่ง ก็คือ วิลลาร์ด ลิบบี้ อดีตสมาชิกของคณะกรรมการพลังงานปรมาณูของสหรัฐ ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในฐานะค้นพบวิธีการตรวจสอบอายุของสสารด้วยระบบกัมมันตรังสีคาร์บอน ได้ร่วมกับพรรคพวกอีกสองคนทำการทดลองพบว่า การเคลื่อนไหวของสิ่งสองสิ่งในอวกาศคือสสารกับตัวต้านสสารนั้น ทำให้เกิดพลังงานอย่างใหญ่หลวงมหาศาล และปรากฎการณ์นี้อาจจะเป็นไปได้เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเฉียดเข้ามาใกล้และถูกโลกดึงลงมาแผลงฤทธิ์กันบนทุ่งไซบีเรีย
         แต่ว่าสิ่งที่เรารู้กันในทุกวันนี้เกี่ยวกับอสูรร้ายในเอกภพคือ แบล็ค โฮลนั้น มันเกิดขึ้นจากผลของการที่แก๊สในดาวฤกษ์ซึ่งมีกลุ่มก้อนมหึมาเกิดการหลอมตัวของนิวเคลียร์เข้าด้วยกัน เป็นลักษณะของการแปลงธาตุจากธาตุหนึ่งไปยังอีกธาตุหนึ่ง โดยเฉพาะจากไฮโดรเยนเป็นฮีเลียม การแปลงธาตุจากการหลอมตัวของนิวเคลียสนี้ผลพวงที่แนบมาด้วยก็คือพลังงานความร้อนที่เกิดจากระเบิดนิวเคลียร์ที่มนุษย์สามารถสร้างมันขึ้นมาได้แรงที่สุด
         พลังงานมหาศาลที่มีทั้งความร้อนระคนปนเข้ากับแสงและรังสีอื่นๆ อันเกิดจากการหลอมตัวแปลงธาตุนี้จะผลักดันปรมาณูและอณูต่างๆ ออกจากกัน แต่ในเวลาเดียวกับที่มีแรงผลักดันปรมาณูออกจากกันนี้ก็พลอยหมดไปตามไปด้วย คงเหลือแต่แรงดึงดูดให้ปรมาณูวิ่งเข้ามากันอยู่แรงเดียว
         เมื่อมีแต่แรงดึงปรมาณูเข้าหากันอยู่แต่ลูกเดียวเช่นนี้ ดาวฤกษ์ที่ดันเผาไหม้ตัวเองขึ้นมานั้นก็จะเริ่มหดตัวเล็กลงกว่าขนาดของเดิม และก็หดตัวลงไปเรื่อย แต่ว่าจะหดใหญ่เล็กแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าดาวฤกษ์ดวงเดิมนั้นมันใหญ่โตแค่ไหน ดาวฤกษ์ขนาดย่อมๆ หน่อยก็จะหดตัวมาเป็นดาวฤกษ์นิวตรอน ซึ่งในตัวของมันนั้นก็จะประกอบด้วยสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่า “สารควบแน่น” และสารควบแน่นพวกนี้จะเป็นสสารที่ไม่มีอนุภาคไฟฟ้าอยู่ในตัวเหมือนกับสสารทั่วไป นั่นเองที่เขาเรียกมันว่า “นิวตรอน” หรือ “สารเป็นกลาง”
         แต่ที่น่าทึ่งและมหัศจรรย์ที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์เขาว่ากันไว้นั้นก็คือ เจ้าสารควบแน่นนี้ปริมาณเพียงแค่หัวไม้ขีดเท่านั้นมันจะหนักเป็นพันล้านตัน หรืออีกนัยหนึ่งหนักยิ่งกว่าภูเขาหิมาลัยหรือเขาพระสุเมรุเสียอีก
         แต่ดาวฤกษ์ที่เอาแต่หดตัวไปนั้นก็ไม่ได้หยุดหดไปแม้แต่น้อย คงทำการก้มหน้าก้มตาลดขนาดของมันด้วยการหดต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็ไม่มีขนาด ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากสภาพใหม่ที่มองไม่เห็น และที่นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่า “หลุมดำ” หรือ “แบล็ค โฮล” นั่นแหละ
         ทั้งหมดนี้ออกจะเป็นเรื่องฟังหนักสมองเอาสักหน่อยแต่นี่ขนาดผมพยายามเรียบเรียงเอาคำอธิบายของนักวิทยาศาสตร์ไต่บันไดลงมาถึงพื้นให้ท่านผู้อ่านพอเข้าใจแล้วนะครับ มันเป็นศาสตร์ในเรื่องกฎของฟิสิกส์ที่เขาว่าเอาไว้ แค่ถอดเอามาง่ายๆ ผมยังต้องนอนก่ายหน้าผากอยู่หลายตลบกว่าจะออกมาเขียนได้อย่างนี้
         ก็นักวิทยาศาสตร์นั่นแหละที่ว่าไว้ว่า เจ้าหลุมดำอินวิซิเบิ้ลตัวนี่แหละที่มันมีสนามแม่เหล็กอยู่สูงมหาศาล อำนาจทางแม่เหล็กของมันนี่เองที่เที่ยวไปดูดดาวที่มันผ่านเข้าไปใกล้เคียงเข้าไปหามัน และก็จัดการเขมือบดาวนั้นๆ เข้าตัวมันหายวับไป เหมือนกับเป็นอาหารโอชะแล้วเมื่อดาวทั้งหลายถูกดูดกลืนเข้าไปในหลุมดำนั้นก็ยิ่งจะไปเพิ่มแรงดึงดูดให้กับเจ้าตัวหลุมดำจอมเขมือบนี้มากขึ้นไปอีก
         พฤติการณ์ของเจ้าหลุมดำนี้แหละที่เห็นๆ กันว่าเปรียบเสมือนสัตว์ร้ายที่ซุ่มอยู่ในกาแลกซี่ของเรา และบางทีอาจจะอยู่ในกาแลกซี่อื่นๆ อีกหมื่นล้านอสงไขยในความเวิ้งว้างหาที่สิ้นสุดมิได้ของจักรวาล
         ถึงเวลานี้นักวิทยาศาสตร์อเมริกากันกำลังบอกว่าเจ้าหลุมดำที่หยุดนิ่งย่อยอาหารดาวที่มันก้มหน้าเขมือบไปพักหนึ่งนั้น เริ่มขยับเขยื้อนท้องร้องขึ้นมาแล้ว และก็กำลังเริ่มเขมือบดาวฤกษ์ที่ตุปัดตุเป๋เข้าไปใกล้ๆ มันเป็นอาหารอีกครั้งหนึ่ง ฟังแล้วก็น่าขนหัวลุก
         หลุมดำนี้มันคืออะไรกันแน่ เราเห็นจะต้องรอไปสักปีสองปีอาจจะรู้จักมันมากกว่าที่รู้อยู่แล้ว เพราะจากวิทยาการที่ก้าวหน้ามากขึ้น เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น ขณะนี้นักดาราศาสตร์สามารถที่จะส่งกล้องส่องดาวหรือกล้องโทรทัศน์ออกไปเล็งดูกันได้นอกโลกแล้ว โดยฝากไปกับบัลลูนที่ส่งขึ้นไปโคจรในอวกาศแล้วส่งภาพข้อมูลต่างๆ กลับมาดูกันเพื่อตัดสินกันให้แน่ชัดว่าเจ้าจอมเขมือบนี้มันคืออะไรกันแน่

10 อันดับหาดทรายสีดำที่สวยที่สุดในโลก



 

อันดับที่ 10 Vik Beach, Iceland
 
Vik Beach อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ทางใต้ของไอซ์แลนด์ หนึ่งในชายหาดที่มีรายชื่อในการจัดอันดับชายหาดที่สวยที่สุดในโลกเมื่อปี 1991 เป็นหมู่บ้านที่มีฝนตกมากที่สุดในไอซ์แลนด์ ดังนั้นควรจะตรวจสอบให้ดีว่าคุณจะไม่ไปที่นั่นในวันที่มีฝนตก ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ชายหาดที่ดีที่สุดแต่ก็เป็นสถานที่น่ามหัศจรรย์ที่น่าไปชม
  

 

อันดับที่ 9 Black Sand Beach, Prince William Sound, Alaska
 
ชายหาดอยู่ห่าง Anchorage 60 ไมล์ คุณจะได้พบกับการขึ้นลงของธารน้ำแข็ง น้ำตก ภูเขาเขียว และสัตว์ป่าที่ไม่สามารถหาชมได้ในสวนสัตว์ ถ้าคุณมองลงไปในน้ำหรือรอบๆ ตัวคุณจะมองเห็นเงาสะท้อนของน้ำและน้ำแข็งสีฟ้าที่อยู่ลึกลงไปเป็นหมื่นๆ ฟุต ที่ชาดหาดนี้มีกิจกรรมที่นิยมที่สุดคือพายเรือคายัค แต่จำไว้ว่าคุณอยู่ในอลาสก้า ไม่ใช่ชายหาดที่จะออกไปเล่นกีฬาด้วยบิกินี่ ควรจะนำเสื้อกันหนาวไปดีกว่า
 

 

อันดับที่ 8 Pololu Valley Beach, Hawaii
 
Pololu Valley Beach อยู่สุดทางหลวงหมายเลข 270ที่เกาะนี้คุณสามารถชมวิวภูเขา Kohala ได้อย่างยอดเยี่ยมพอๆ กับชายฝั่ง หนึ่งในเกาะที่เล็กที่สุดในฮาวาย และต้องปีนเขา 400 ฟุต เพื่อมายังชายหาด ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ที่เกาะนี้ไม่แนะนำกิจกรรมอย่างดำน้ำหรือว่ายน้ำเพราะกระแสน้ำแรงและคลื่น สูง อันตราย ถ้าคุณได้มาที่ Pololu Valley Beach นี้ให้ปีนเขาและชมวิวดีกว่า
 

 
อันดับที่ 7 Kehena Beach, Hawaii


ถ้าคุณวางแผนจะไปพักผ่อน ที่นี่ไม่เหมาะสำหรับครอบครัว โดยเฉพาะถ้าคุณมีเด็กเล็กๆ ชายหาดนี้ได้ชื่อว่าชายหาดเปลือยแม้ว่าจะผิดกฎหมายฮาวาย ที่ Kehena คุณจะไม่โดดเดี่ยว คุณจะได้พบกับปลาวาฬด้วยเหตุนี้ทำให้ที่นี่มีอีกชื่อหนึ่งว่าหาดปลาวาฬ คุณสามารถว่ายน้ำกับปลาวาฬถ้ากระแสน้ำไม่เลวร้ายนัก คนส่วนใหญ่ที่ไปที่ Kehena เพื่อนั่งเล่นที่ชายหาด เพลิดเพลินกับอากาศดีๆ และน้ำ
  

 

อันดับที่ 6 Kaimu Beach, Hawaii
 
Kaimu Beach แม้ว่าจะอันตรายแต่ก็เป็นหาดทรายสีดำที่สวยงามที่ต้องไปชม ในช่วงปี 1990 ชาดหาดถูกปกคลุมไปด้วยลาวา ปัจจุบันจึงมีการปลูกต้นไม้ ดอกไม้ เพื่อนำชีวิตกลับคืนมาสู่ชายหาด ทั้งเฟิร์น ปาล์ม และต้นไม้อื่นๆ ที่สามารถพบเห็นตามรอยแตกของลาวา ขอแนะนำว่าคุณไม่ควรว่ายน้ำที่ชายหาดนี้เพราะกระแสน้ำแรงมาก แต่ถ้ายืนอยู่ในน้ำไม่สูงนัก ก็ไม่อันตรายมาก
 

 

อันดับที่ 5 Black Sand Beach, Lost coast, California
 
ชายหาดของแคลิฟอร์เนียความยาว 80 ไมล์ ที่หายสาบสูญ หนึ่งในชายหาดที่คนไปน้อยที่สุด ถ้าคุณมีความกล้าหาญและทักษะที่เชี่ยวชาญ คุณจะพิชิตยอดที่สูงที่สุดของที่นี่ที่ความสูงมากกว่า 2000 ฟุต จุดที่สูงที่สุดคือ King’s Peak ที่ความสูง 4,087 ฟุต และได้ชมชายหาดที่ได้ชื่อว่า Black Sand Beach แม้ว่าจะว่ายน้ำที่ชาดหาดนี้ได้แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ จะปีนเขาและขึ้นมาเพื่อถ่ายรูปที่นี่มากกว่า
 


 
  อันดับที่ 4 Oneuli Beach, Maui

Oneuli Beach หนึ่งในชายหาดที่คุณอาจไม่พบกับฝูงชนจำนวนมาก อย่างไรก็ตามคุณสามารถมีช่วงเวลาดีๆ ที่ชายหาดแห่งนี้ น้ำที่กำลังดี ชายหาดที่สามารถตั้งแคมป์ได้ ถ้าวางแผนจะมาที่นี่สักสองสามชั่วโมงคุณสามารถว่ายน้ำ ปีนเขา ตกปลา และพายเรือ ถ้าคุณชอบอยู่กับธรรมชาติ คุณน่าจะชอบปีนเขา และสามารถดำน้ำทั้ง snorkeling และ scuba diving และพายเรือคายัค ทรายจะร้อนมากเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น อย่าลืมเอารองเท้ามาด้วย
 

 

อันดับที่ 3 Honokalani Black Sand Beach, Maui

Honokalani Black Sand Beach ตั้งอยู่ใน Wainapanapa State Park หาดที่เต็มไปด้วยกรวดเล็กๆ จากลาวา รอบๆ คุณจะได้พบกับถ้ำ ปะการังลาวา แท่งลาวา จากชายหาดคุณสามารถเดินไปยัง King’s Highway ซึ่งเป็นทางจากฝั่งเลียบชายหาดไปยัง Hana ซึ่งคุณสามารถดำน้ำและ snorkeling ได้ที่หาดนี้
 

 

อันดับที่ 2 Waianapanapa Black Sand Beach, Maui
 
Waianapanapa Beach ชาดหาดสีดำที่เกิดจากกระแสน้ำกัดเซาะหินภูเขาไฟ ที่ชายหาดนี้คุณจะได้พบกับวิวที่สวยงามที่สุดที่คุณไม่เคยเห็น คุณสามารถชมและเข้าไปในถ้ำ สะพานที่เกิดจากหินธรรมชาติ และ King’s Highway เส้นเก่า ที่เคยใช้เป็นถนนล้อมรอบเกาะ คุณสามารถพาครอบครัวมาที่นี่และแน่ในว่าจะเป็นช่วงฤดูร้อน เพราะในช่วงฤดูหนาวคลื่นจะแรงและสูงมาก ไม่สามารถว่ายน้ำ เล่นกระดานโต้คลื่น และดำน้ำเพราะอันตรายมาก
 

 

อันดับที่ 1 Punaluu Beach, Hawaii
 
อันดับสูงที่สุดในโลกของหาดทรายสีดำคือ Punaluu Beach ตั้งอยู่บน Big Island ของฮาวาย ชายหาดที่ล้อมรอบด้วยทรายสีดำที่เกิดจากลาวาที่เย็นตัวลงจากภูเขาไฟใน มหาสมุทร ที่หาดนี้คุณสามารถพบเต่า Hawksbill หรือ Green sea turtles แม้ว่าทรายสีดำที่หาดนี้จะสวยงาม แต่การนำทรายออกมาก็เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย

 
ที่มา :
http://www.toptenthailand.com/display.php?id=1348

10 ถนนอันตรายที่สุดในโลก

.
ถนนหนทางถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะนำพาพวกเราไปท่องเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากถนนที่ควรจะพาเราเดินทางอย่างราบรื่นกลับกลายมาเป็นอุปสรรคสุดอันตรายที่พร้อมจะคร่าชีวิตทุกคนที่เดินทางผ่านล่ะ?
.
ทีมงานจิงโจ้เป็นโล้เป็นพายข่าวขอพาทุกคนไปสัมผัส 10 ถนนที่อันตรายที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของเว็บไซต์ travelandleisure
.
พร้อมแล้วไปดูเส้นทางอันตรายพร้อม ๆ กันเลยครับ
.
10..North Yungas Road, ประเทศโบลิเวีย
image
image
ตำแหน่งที่ตั้ง: ระหว่างเมืองLa Paz และ Coroico
ความอันตราย: สุดยอดเส้นทางอันตรายจนมีชื่อเรียกขานว่า“ถนนแห่งความตาย” ถนนสุดแคบเส้นนี้วิ่งไปตามภูเขา 40 ลูก และบางจุดแคบเพียง 10 ฟุต รถยนต์แทบสวนกันไม่ได้ ด้านล่างเป็นป่าที่อยู่ลึกลงไป 1,000 ฟุตที่กลืนกินชีวิตนักขับมาแล้วหลายราย

9..Guoliang Tunnel Road,.ประเทศจีน
image
image
ตำแหน่งที่ตั้ง: ภูเขาTaihang ในประเทศจีน
ความอันตราย:ถนนที่มีชื่อแปลว่า "ไม่อดทนกับความผิดพลาด" ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1972 โดยชาวบ้านที่อาศัยในเขตภูเขา Taihang แสนไกลปืนเที่ยง ได้ช่วยกันขุดอุโมงค์ผ่านภูเขาเป็นระยะ 3/4 ไมล์เพื่อเป็นทางออกมาสู่โลกภายนอก ปัจจุบันเส้นทางนี้กว้าง 12 ฟุต หรือประมาณ 3 เมตรครึ่ง ทางโค้งในอุโมงค์กว่า 30 แห่งจะมีช่องเปิดให้เห็นวิวหน้าผาและหุบเหวลึกสุดอันตรายด้านล่างให้นักขับหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเล่น

8. Halsema.Highway, ประเทศฟิลิปปินส์
image
image
ตำแหน่งที่ตั้ง: ภูเขาบนเกาะLuzon
ความอันตราย: ความน่าสะพรึงกลัวของนักขับบนถนนเส้นนี้ ดินถล่มสุดโหด หินก้อนใหญ่ ๆ และซากหินที่ตกลงมาจากข้างบนเขาพร้อมจะคร่าชีวิตนักขับดวงซวยทุกคน แถมด้วยหมอกหนาที่ปกคลุมถนนเส้นนี้ทั้งปี ทำให้ทัศนวิสัยย่ำแย่สุดขีด เส้นทางนี้วิ่งวกวนผ่านเขาCordillera Central ขนาดมหึมาในเขตเกาะLuzon และยังมีอีกหลายพื้นที่ของเส้นทางที่ยังไม่มีการปูพื้นถนน
.
7. Karakoram.Highway,.ระหว่างประเทศปากีสถานและจีน
image
image
ตำแหน่งที่ตั้ง: เขตภูเขาKarakoram ในปากีสถาน
ความอันตราย: หนึ่งในถนนที่สูงที่สุดบนโลก วิ่งลัดเลี้ยวเคี้ยวคดไปตามภูเขาสูง16,000 ฟุตจากปากีสถานไปถึงจีน นี่คือเส้นทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวเพื่อขับรถไปชมวิวภูเขาK2 ภูเขาที่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เส้นทางจากจุดที่อยู่ที่สูงที่สุดจากถนนสายนี้ จะทำให้นักขับรถทรมานจากสภาพอากาศเบาบางเป็นระยะทางกว่า 800 ไมล์ ซึ่งแคบลงตามแม่น้ำและข้ามพื้นที่สุดแห้งแล้ง ก่อนจะปีนขึ้นไปตามทางที่คดเคี้ยวไม่มีที่สิ้นสุดของ Karakoram
.
6. Kolyma.Highway, ระหว่างประเทศรัสเซียและไซบีเรีย
image
image
ตำแหน่งที่ตั้ง: รัสเซียตะวันออกไกลและไซบีเรีย
ความอันตราย: เส้นทางยาว 1,200 ไมล์ซึ่งมีชื่อเล่นว่า "เส้นทางสายโครงกระดูก" ถูกสร้างในยุคของท่านผู้นำสตาลิน ซึ่งชื่อนี้มีที่มาจากผู้ที่ถูกกักกันในค่ายแรงงานและผู้ที่เสียชีวิตระหว่างการก่อสร้างที่ถูกฝังไว้ข้างใต้หรือใกล้ ๆ พื้นถนน ถนนเส้นนี้ตัดผ่านบริเวณที่หนาวที่สุดในโลก ในหน้าหนาวจะเป็นการขับรถบนน้ำแข็งบนแม่น้ำที่แข็งตัวแทนการใช้เรือ ซึ่งเป็นเส้นทางการขับที่อันตรายสุดขีด เนื่องจากไม่สามารถทราบได้ว่าจุดไหนที่น้ำแข็งจะแตกหักบ้าง
.
5. Canning.Stock Route,.ประเทศออสเตรเลีย
image
image
ตำแหน่งที่ตั้ง:ทะเลทรายบริเวณออสเตรเลียตะวันออก
ความอันตราย: เส้นทางยาวกว่า 1,100 ไมล์ ผ่านทะเลทรายอันกว้างใหญ่ มีการขุดบ่อน้ำมากกว่าเกือบร้อยบ่อตลอดเส้นทาง ปัจจุบันรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่เดินทางไปด้วยกันสามารถขับผ่านความอ้างว้างนี้ได้ด้วยการช่วยเติมเชื้อเพลิง ทะเลทรายกว้างใหญ่ที่ดูไม่มีจุดสิ้นสุดและแสงแดดที่แผดเผาในการเดินทางข้ามผ่าน ทำให้เส้นทางนี้หฤโหดถึงขีดสุด
.
4..Graciosa Trail, ประเทศบราซิล
image
image
ตำแหน่งที่ตั้ง: ภูเขาเหนือเมือง Morretes
ความอันตราย: ถนนเส้นนี้เป็นทางเก่าแก่ที่ตัดผ่านป่าฝนและถูกปกคลุมหนาทึบไปด้วยมอส ด้วยสภาพเส้นทางที่ทำจากหินกรวดตลอดเส้นทาง ให้พื้นถนนลื่นและอันตรายมาก โดยเฉพาะบริเวณทางเลี้ยว นอกจากนี้ยังมีต้นไฮเดนเยียขึ้นตามทางทำให้ทางเขียวชอุ่มด้วยดอกไม้สีฟ้า ดูสดชื่นหลอกล่อให้นักขับหลงชมธรรมชาติจนลืมไปว่าถนนเส้นนี้อันตรายถึงชีวิต

3..Trans-Sahara Highway, ทวีปแอฟริกา
image
image
ตำแหน่งที่ตั้ง: จากแอลจีเรียถึงไนจีเรีย
ความอันตราย: เส้นทางลาดยางท่ามกลางทะเลทรายเป็นระยะทางยาวกว่า 2,800 ไมล์ วิ่งข้ามผ่าน 3 ประเทศ ได้แก่ แอลจีเรีย ไนเจอร์ และไนจีเรีย เป็นเส้นทางผ่านทะเลทรายซาฮาร่า ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดบนโลก เชื้อเพลิงและน้ำไม่สามารถหาได้มากนักตลอดเส้นทางสุดโหด และพายุทรายที่บางปีก็พัดทรายกองมหึมาและถมลงบนถนน ทำให้การจราจรเป็นอัมพาตหลายวันติดต่อกัน

2..The.Stilwell Road, ระหว่างประเทศอินเดียและพม่า
image
ตำแหน่งที่ตั้ง: ทางในป่าอินเดียไปถึงพม่า
ความอันตราย: ถูกสร้างขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองโดยการแลกมาด้วยชีวิตนับพัน Stilwell Road (The Ledo Road) วิ่งป่ายภูเขา คดเคี้ยวไปในป่า และผ่านแม่น้ำกว่า 100 สาย ที่ไหลผ่านถนนความยาว 1,079 ไมล์ ปัจจุบันถนนเส้นนี้ถูกป่าปกคลุมรกชัฎ มีการใช้น้อยและพื้นที่ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้

1..Wilderness Road.to Selva.Blue Lodge,.ประเทศโบลิเวีย
image
ตำแหน่งที่ตั้ง: ระหว่าง Santa Ana และ the Selva Blue wilderness lodge
ความอันตราย: เส้นทาง 100 ไมล์บนป่าเขาอันวกวน เป็นทางกรวดกว้าง 20 ฟุต ที่แคบลงเพราะหญ้าที่ขึ้นปกคลุมสองข้าง และสะพานไม้เหนือแม่น้ำสายย่อยจากอเมซอน คาราวานมอเตอร์ไซค์ได้เลือกเส้นทางที่มักถูกน้ำท่วมนี้ไปยังลุ่มน้ำอเมซอนทางเหนือของโบลิเวียในปี 2002 ด้วยความโหดระดับตำนานของเส้นทางนี้ ทำให้โบลิเวียได้ตำแหน่งประเทศที่มีถนนสุดอันตรายที่สุดในโลกไปครอบครองอย่างไม่น่าภูมิใจนัก
แล้วคุณล่ะ มีถนนสุดอันตรายอยากเล่าขานกันบ้างไหม?